ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 18อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 24อ่านอรรถกถา 13 / 36อ่านอรรถกถา 13 / 734
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหบดีวรรค
เสขปฏิปทาสูตร ว่าด้วยผู้มีเสขปฏิปทา

               ๓. อรรถกถาเสขปฏิปทาสูตร               
               เสขปฏิปทาสูตร๑- มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
____________________________
๑- ในอรรถกถาเรียกว่า เสขสูตร ส่วนบาลีเรียกว่า เสขปฏิปทาสูตร.

               บรรดาบทเหล่านั้นคำว่า นวํ สนฺถาคารํ คือ สันถาคารที่สร้างเสร็จมาไม่นาน.
               อธิบายว่า ศาลาใหญ่หลังหนึ่ง.
               แท้จริง ในเวลาจัดกระบวนรับเสด็จเป็นต้น เขาจัดระเบียบกั้นเขตอย่างนี้ คือพวกเจ้าที่อยู่ในที่นั้น อยู่ข้างหน้าเท่านี้ อยู่ข้างหลังเท่านี้ สองข้างเท่านี้ ขี่ช้างเท่านี้ ขี่ม้าเท่านี้ ยืนบนรถเท่านี้ เพราะฉะนั้น ที่นั้นเขาจึงเรียกว่า สันถาคาร.
               อนึ่ง คนทั้งหลายมาจากที่กระบวนรับเสด็จ กระทำการฉาบทาด้วยโคมัยสดเป็นต้น ที่บ้านเรือนทั้งหลาย ตราบใด พวกเจ้าเหล่านั้นก็อนุเคราะห์อยู่ในที่นั้น ๒-๓ วันตราบนั้น. แม้เพราะเหตุนั้น ที่นั้นจึงชื่อว่าสันถาคาร อาคารเป็นที่สั่งการด้วยตนเองของเจ้าเหล่านั้น แม้เพราะเหตุนั้น อาคารนั้นจึงชื่อว่าสันถาคาร.
               แท้จริง คนเหล่านั้นเป็นคณะเจ้า เพราะฉะนั้น กิจที่เกิดขึ้นจึงเด็ดขาดด้วยอำนาจเจ้าองค์เดียว ควรจะได้ฉันทะพอใจของเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้น เจ้าทุกพระองค์จึงประชุมสั่งการในที่นั้น ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวว่า อาคารเป็นที่สั่งการด้วยตนเอง แม้เพราะเหตุนั้น อาคารนั้นจึงชื่อว่าสันถาคาร. แต่เจ้าเหล่านั้นประชุมกันในที่นั้น ย่อมปรึกษากันถึงกิจการฝ่ายฆราวาส โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า เวลานี้ควรไถ เวลานี้ควรหว่าน เพราะฉะนั้น เจ้าทั้งหลายกระจายกิจการฆราวาสออกเป็นส่วนย่อยๆ ในที่นั้น แม้เพราะเหตุนั้น ที่นั้นจึงชื่อว่าสันถาคาร.
               คำว่า สร้างไม่นาน คือ สร้างเสร็จไม่นาน ประหนึ่งเทพวิมานอันตกแต่งดีแล้วด้วยงานไม้งานหินและงานจิตรกรรมเป็นต้น.
               ในคำว่า สมเณน วา เป็นต้น เพราะเหตุที่ในเวลากำหนดพื้นที่สร้างเรือน เทวดาทั้งหลายย่อมถือว่าเป็นสถานที่อยู่ของตน ฉะนั้น พวกเจ้าศากยะจึงไม่กล่าวว่า อันเทวดาหรือ แต่กล่าวว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ หรือมนุษย์ไรๆ (ไม่เคยเข้ามาอยู่ก่อน).
               คำว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า พวกเจ้าศากยะได้ฟังว่า สันถาคารเสร็จแล้ว ก็ใคร่จะไปดูสันถาคารนั้นจึงไปตรวจดูหมดตั้งแต่ซุ้มประตู ก็คิดว่า สันถาคารนี้น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง มีสิริเฉกเช่นเทพวิมาน ใครเล่าใช้ก่อนจะพึงเป็นประโยชน์สุขแก่เราไปนาน จึงปรึกษาตกลงกันว่า สันถาคารนี้เหมาะแก่พระศาสดาเท่านั้น ในเมื่อเราถวายเป็นปฐมแก่พระญาติผู้ประเสริฐสุดของเราเหมาะแก่พระศาสดาเท่านั้น ในเมื่อเราถวายด้วยอำนาจที่พระองค์ทรงเป็นทักขิไณยบุคคล เพราะฉะนั้น เราจักอาราธนาพระศาสดาให้ทรงใช้เป็นปฐมฤกษ์ จักอาราธนาพระภิกษุสงฆ์มา เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาก็จักเท่ากับพระไตรปิฎกพุทธวจนะมาด้วย เราจักอาราธนาพระศาสดาให้ตรัสธรรมกถา สอนเราตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม
               ดังนั้น สันถาคารนี้ก็เป็นอันพระรัตนตรัยใช้สอยแล้ว เราจักใช้สอยในภายหลัง อย่างนี้ก็จักเป็นประโยชน์สุขแก่เราตลอดกาลนาน แล้วก็พากันไปเฝ้า.
               คำว่า เยน สนฺถาคารํ เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า เขาว่า วันนั้นสันถาคารจะเป็นที่ๆ ตกแต่งจัดแจงไว้เพื่อให้พวกราชสกุลทอดพระเนตรก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้จัดให้สมควรแก่พระพุทธองค์ ด้วยธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอัธยาศัยชอบป่า ยินดีแต่ป่า จะประทับอยู่ภายในหมู่บ้านหรือไม่หนอ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าศากยะจึงคิดว่าจักรู้พระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อนแล้วจึงจะปูลาด เพราะเหตุนั้น จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
               แต่มาบัดนี้ พวกเจ้าศากยะทรงทราบพระอัธยาศัยแล้วทรงประสงค์จะปูลาดจึงพากันไปยังสันถาคาร.
               คำว่า สพฺพสนฺถริสนฺถตํ สนฺถาคารํ สนฺถราเปตฺวา ความว่า ให้ลาดสันถัตไว้ทุกแห่ง.
               คำว่า สพฺพปฐมํ ตาว โคมยนฺนาม สพฺพมงฺคเลสุ วฏฺฏติ ความว่า พวกเจ้าศากยะให้เอาโคมัยสดโบกทับพื้นที่ๆ แม้โบกด้วยปูนขาวไว้แล้ว รู้ว่าหมดจดแล้ว ก็ชโลมด้วยคันธชาติ ๔ ชนิดโดยไม่ให้รอยพระบาทปรากฏในที่ๆ ย่างพระบาท ลาดเสื่อลำแพนมีสีต่างๆ ไว้ข้างบน ให้ปูปิดช่องว่างทุกแห่งที่ควรปู ด้วยเครื่องปูลาดทั้งหลายมีสีสรรต่างๆ กัน เช่นเครื่องปูลาดลายช้าง ลายม้า ลายราชสีห์ ลายเสือ ลายพระจันทร์ ลายพระอาทิตย์ ลายจิตรกรรมเป็นต้น ตั้งต้นแต่ผ้าโกเชาว์กั้นหลังผืนใหญ่ไว้ข้างบนเสื่อลำแพนเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สพฺพสนฺถริสนฺถตํ สนฺถาคารํ สนฺถราเปตฺวา ดังนี้.
               คำว่า อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา ความว่า ปูลาดพุทธอาสน์ที่มีค่ามาก พิงเสามงคลที่ตรงกลางก่อนแล้ว ลาดปัจถรณ์ซึ่งอ่อนละมุนน่ารื่นรมย์บนพุทธอาสน์นั้น วางพระเขนยที่น่าพอตา มีสีแดงสองข้างไว้ ติดเพดานอันวิจิตรด้วยดาวทอง ดาวเงินไว้เบื้องบน ประดับพวงของหอมพวงดอกไม้และพวงมุกดาเป็นต้น ทำข่ายด้วยดอกไม้ในที่ ๑๒ ศอกโดยรอบ เอาม่านล้อมที่ราว ๓๐ ศอก ตั้งตั่งบัลลังก์ ตั่งพิงและตั่งโล้นไว้ ให้ปูลาดปัจถรณ์สีขาวไว้ข้างบน สำหรับภิกษุสงฆ์พิงฝาด้านหลัง ปูลาดผ้าโกเชาว์ผืนใหญ่ให้วางพระเขนยที่บรรจุด้วยขนหงส์เป็นต้นไว้ สำหรับตนพิงฝาด้านหน้า ด้วยดำริว่า พวกเราไม่ลำบากจักฟังธรรมได้ตลอดทั้งคืนอย่างนี้. ท่านหมายเอาข้อนี้จึงกล่าวว่า อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา ดังนี้.
               คำว่า อุทกมณิกํ ได้แก่ หม้อน้ำที่มีกระพุ้งใหญ่.
               คำว่า ปติฏฺฐเปตฺวา ความว่า พวกเจ้าศากยะคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ จักล้างพระหัตถ์หรือพระบาทหรือบ้วนพระโอษฐ์ตามพอพระทัยอย่างนี้ จึงบรรจุหม้อด้วยน้ำใสสีดังแก้วมณีใส่ดอกไม้ต่างๆ และผงอบน้ำเพื่อประโยชน์ อบน้ำให้หอม ปิดด้วยใบกล้วยตั้งไว้ในที่นั้นๆ ท่านหมายเอาข้อนี้จึงกล่าวว่า ปติฏฺฐเปตฺวา.
               คำว่า เตลปฺปทีปํ อาโรเปตฺวา ความว่า ตามประทีปน้ำมันที่ตะเกียงมีด้ามทำด้วยเงินและทองเป็นต้น และที่ภาชนะอันทำด้วยทองและเงินเป็นต้น ที่เขาตั้งไว้ในมือของรูปชาวโยนกและรูปกินนรเป็นอาทิ.
               ก็ในบาลีนี้ว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ พึงทราบความดังนี้
               พวกเจ้าศากยะเหล่านั้นให้จัดตกแต่งสันถาคารอย่างเดียวหามิได้ ที่แท้ให้ตีกลองร้องป่าวประกาศว่า ท่านทั้งหลายจงให้กวาดถนนนครรอบๆ กรุงกบิลพัศดุ์โยชน์หนึ่งให้ยกธง ให้ตั้งหม้อน้ำและต้นกล้วยที่ประตูเรือน กระทำทั่วพระนคร ประหนึ่งดวงดาวเกลื่อนกล่นด้วยประทีปและมาลัยเป็นต้น ให้ทารกที่ยังดื่มนม ให้ดื่มนมเสีย ให้เด็กรุ่นรีบกินข้าวแล้วให้นอนเสีย อย่าทำเสียงดัง วันนี้พระศาสดาจักประทับอยู่ภายในหมู่บ้านตลอดคืนหนึ่ง ด้วยธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายต้องการเสียงเงียบ แล้วตนเองก็ถือประทีปมีด้ามเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
               พระบาลีว่า อถฺโข ภควา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน นวํ สนฺถาคารํ เตนุปสงฺกมิ พึงทราบความดังนี้.
               นัยว่า เมื่อพวกเจ้าศากยะกราบทูลเวลาอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบเวลาอันควร ณ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจัดผ้าแดงสีดังดอกทองหลาง แดงชุ่มด้วยน้ำครั่ง ประหนึ่งตัดดอกปทุมด้วยกรรไกร ทรงนุ่งอันตรวาสกปกปิดมณฑลทั้งสาม ทรงคาดรัดประคดมีสิริดังสายฟ้า ประหนึ่งคาดกำปทุมด้วยสายสร้อยทอง ทรงห่มบังสุกุลจีวรอันประเสริฐสีแดง มีวรรณะละม้ายยอดอ่อนแห่งต้นไทร ที่ทำให้มหาปฐพีที่ประกอบด้วยขุนเขาสิเนรุและเขายุคนธรแห่งจักรวาล ให้ไหวแล้วจับไว้ ประหนึ่งคลุมตระพองช้างด้วยผ้ากัมพลแดง ประหนึ่งโปรยข่ายแก้วประพาฬในที่สูง ๑๐๐ ศอกที่มีค่าดังทอง ประหนึ่งเปลื้องเสื้อกัมพลแดงที่สุวรรณเจดีย์ ประหนึ่งปิดดวงจันทร์เพ็ญที่กำลังโคจรด้วยฝนแดง ประหนึ่งรดน้ำครั่งที่สุกดีบนยอดกาญจนบรรพต ประหนึ่งล้อมยอดเขาจิตรกูฏด้วยสายฟ้า เสด็จออกจากประตูพระคันธกุฎี ดั่งหนึ่งราชสีห์ออกจากถ้ำทอง และดังดวงจันทร์เพ็ญโผล่ออกจากยอดอุทัยบรรพต.
               ก็แหละครั้นเสด็จออกแล้ว ก็ประทับยืนที่หน้าพระคันธกุฎี ครั้งนั้น พระรัศมีที่แผ่ออกจากพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ประหนึ่งกลุ่มสายฟ้าลอดออกจากช่องเมฆ กระทำให้พฤกษชาติในพระอาราม ประหนึ่งมีใบดอกผลและค่าคบเรื่อเลื่อมด้วยพรายน้ำทองราดรด พร้อมกันนั้น ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ถือบาตรและจีวรของตนแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ก็แลภิกษุทั้งหลายที่ยืนล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็เป็นผู้มักน้อยสันโดษ สงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร มีวัตร อดทนถือคำสั่งสอน เตือนกัน ตำหนิความชั่ว ถึงพร้อมด้วยศีลและสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะ เห็นปานฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ก็งามสง่าประดุจก้อนทองที่ล้อมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง ประดุจนาวาทองที่แล่นไปกลางดงปทุมแดง และประดุจปราสาททองที่ล้อมด้วยเรือนแก้วประพาฬ.
               แม้พระมหาเถระทั้งหลายมีท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นต้นก็ห่มบังสุกุลจีวรมีสีดังเมฆ ล้วนเป็นผู้คายราคะ ทำลายกิเลส สางชัฏได้แล้ว ตัดเครื่องผูกพันแล้ว ไม่ติดข้องในสกุลหรือหมู่ ยืนแวดล้อมประดุจช้างใหญ่ที่มีผิวหนังคลุมด้วยหนังแก้วมณี.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เองก็ทรงปราศจากราคะ อันเหล่าภิกษุที่ปราศจากราคะแวดล้อมแล้ว ทรงปราศจากโทสะ อันเหล่าภิกษุที่ปราศจากโทสะแวดล้อมแล้ว ทรงปราศจากโมหะ อันเหล่าภิกษุที่ปราศจากโมหะแวดล้อมแล้ว ทรงไม่มีตัณหา อันเหล่าภิกษุที่ไม่มีตัณหาแวดล้อมแล้ว ทรงไม่มีกิเลส อันเหล่าภิกษุที่ไม่มีกิเลสแวดล้อมแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้เอง อันเหล่าภิกษุผู้ตรัสรู้เพราะเป็นพหูสูตแวดล้อมแล้ว ประดุจไกรสรราชสีห์ อันฝูงมฤคแวดล้อมแล้ว ประดุจดอกกรรณิการ์ที่เกสรล้อมไว้ ประดุจพระยาช้างชื่อฉัททันต์ อันโขลงช้างแปดพันแวดล้อมแล้ว ประดุจพระยาหงส์ชื่อธตรฐ อันฝูงหงส์เก้าหมื่นแวดล้อมแล้ว ประดุจองค์จักรพรรดิ อันเสนางคนิกรแวดล้อมแล้ว ประดุจท้าวสักกเทวราชอันทวยเทพแวดล้อมแล้ว ประดุจท้าวหาริตมหาพรหม อันเหล่าพรหมแวดล้อมแล้ว ประดุจดวงจันทร์เพ็ญอันกลุ่มดาวแวดล้อมแล้ว เสด็จเดินทางไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ด้วยเพศของพระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีผู้ใดเสมอ ด้วยท่วงทีอันสง่าของพระพุทธเจ้าที่หาประมาณมิได้ ด้วยประการฉะนี้.
               ครั้งนั้น พระรัศมีอันมีพรรณดังทองพลุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นกินพื้นที่ระยะแปดสิบศอก. พระรัศมีอันมีพรรณดั่งทองพลุ่งออกจากพระวรกายเบื้องหลัง เบื้องขวา เบื้องซ้าย ก็กินพื้นที่ระยะแปดสิบศอก พระรัศมีอันมีพรรณดังแววหางนกยูง พลุ่งออกจากวนพระเกศาทั้งหมดตั้งแต่ปลายพระเกศาเบื้องบน กินพื้นที่ระยะแปดสิบศอก ณ พื้นอัมพร พระรัศมีอันมีพรรณดังแก้วประพาฬพลุ่งออกจากพื้นพระบาท เบื้องล่าง กินพื้นที่ระยะแปดสิบศอก ณ แผ่นพื้นปฐพีอันทึบ พระพุทธรัศมีมีพรรณ ๖ โชติช่วง แผ่พวยพุ่งไปตลอดพื้นที่ระยะแปดสิบศอกโดยรอบ ประดุจแสงไฟที่พุ่งออกจากดวงประทีปด้ามทองขึ้นไปสู่อากาศ ประดุจสายฟ้าที่พุ่งออกจากเมฆก้อนใหญ่ ทั้งสี่ทิศ ด้วยประการฉะนี้.
               พระพุทธรัศมีกระจายแผ่ไปทุกทิศาภาค ประหนึ่งเกลื่อนกล่นด้วยดอกจำปาทอง ประหนึ่งราดด้วยสายน้ำทองที่ออกจากหม้อทอง ประหนึ่งล้อมไว้ด้วยแผ่นทองที่คลี่แล้ว ประหนึ่งดารดาษด้วยละอองดอกทองกวาวและดอกกรรณิการ์ ที่ลมเวรัมภาก่อให้เกิดขึ้น.
               พระสรีระแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็รุ่งเรืองด้วยพระวรลักษณ์สามสิบสอง ประดับด้วยพระอนุพยัญชนะแปดสิบและพระรัศมีวาหนึ่ง สง่างามประหนึ่งพื้นนภากาศ ซึ่งมีดวงดาวสะพรั่ง ประหนึ่งป่าปทุมที่บานแล้ว ประหนึ่งปาริฉัตรสูงร้อยโยชน์ที่มีดอกบานสะพรั่งไปทั้งต้น ประหนึ่งเอาสิริครอบงำสิริของพระจันทร์สามสิบสองดวง พระอาทิตย์สามสิบสองดวง พระเจ้าจักรพรรดิสามสิบสองพระองค์ ราชาแห่งเทวดาสามสิบสององค์ มหาพรหมสามสิบสององค์ ซึ่งสถิตอยู่ตามลำดับ.
               เหมือนอย่างทานที่ทรงถวาย ศีลที่ทรงรักษา กัลยาณกรรมที่ทรงกระทำตลอดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ประดับด้วยทศบารมี ทศอุปบารมี ทศปรมัตถบารมี รวมเป็นบารมีสามสิบถ้วน ที่ทรงบำเพ็ญมาด้วยดีแล้ว ก็มาประชุมลงในอัตภาพอันเดียว ไม่ได้ฐานะที่จะให้วิบากเป็นเหมือนตกอยู่ในที่คับแคบ เป็นเหมือนประหนึ่งเวลายกสิ่งของจากพันลำเรือลงสู่เรือลำเดียว ประหนึ่งเวลายกสิ่งของจากพันเล่มเกวียนลงสู่เกวียนเล่มเดียว ประหนึ่งเวลาเอาแม่น้ำยี่สิบห้าสาย รวมกองเป็นสายเดียวกัน ที่ประตูทางร่วม (ชุมทาง) แห่งโอฆะ คนทั้งหลายยกประทีปมีด้ามหลายพันดวงไว้เบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ที่กำลังเปล่งโอภาสด้วยพระพุทธสิรินี้. เบื้องหลังข้างซ้าย ข้างขวา ก็อย่างนั้นเหมือนกัน ฝนทั้งหลายที่ปล่อยเมฆทั้งสี่ทิศของดอกมะลิซ้อน ดอกจำปา ดอกมะลิป่า ดอกอุบลแดง อุบลขาว กำยานและยางทราย และดอกไม้ที่มีสีเขียว สีเหลืองเป็นต้น มีกลิ่นหอมและละเอียดก็กระจายไปเหมือนละอองน้ำ
               เสียงกึกก้องของดนตรีมีองค์ห้า และกึกก้องแห่งเสียงสดุดีอันประกอบด้วยคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ก็ตามไปทุกทิศ ดวงตาของเหล่าเทวดา มนุษย์นาค สุบรรณ คนธรรพ์ และยักษ์เป็นต้นก็ได้เห็นเหมือนดื่มน้ำอมฤต แต่จะอยู่ในฐานะที่กล่าวพรรณนาการเสด็จพระพุทธดำเนินด้วยโศลกพันบท ก็ควร.
               ในข้อนั้นจะกล่าวพอเป็นทางดังนี้.
                         พระผู้นำโลกสมบูรณ์ด้วยพระสรรพางค์อย่างนี้ ทรงทำ
                         มหาปฐพีให้ไหว ไม่ทรงเบียดเบียนสัตว์ เสด็จไป
                         พระนราสภผู้สูงสุดกว่าบรรดาสัตว์สองเท้า ยกพระบาท
                         ขวา ก้าวแรกเสด็จพระพุทธดำเนิน ก็สมบูรณ์ด้วยสิริ
                         สง่างาม เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเสด็จพระพุทธ
                         ดำเนิน ฝ่าพระบาทอันอ่อนนุ่มสัมผัสพื้นดินที่เรียบก็
                         ไม่เปื้อนด้วยละออง.
                         เมื่อพระผู้เป็นนายกแห่งโลก เสด็จพระพุทธดำเนิน
                         ที่ลุ่มก็ดอนขึ้น ที่ดอนก็ราบเรียบ แผ่นดิน แผ่นหิน
                         ก้อนกรวด กระเบื้อง ตอและหนามทุกอย่าง ไม่มี
                         จิตใจก็เว้นทางถวาย.
                         เมื่อพระผู้เป็นนายกแห่งโลกเสด็จพระพุทธดำเนิน
                         ก็ไม่ต้องยกพระบาทก้าวยาวในที่ไกล ไม่ต้องยก
                         พระบาทก้าวสั้นในที่ใกล้ ไม่ทรงอึดอัดพระทัย
                         เสด็จพุทธดำเนิน พระมุนีผู้มีจรณะสมบูรณ์ ก็ไม่
                         ยกพระชานุทั้งสองและข้อพระบาท เสด็จไปเร็วนัก.
                         พระผู้มีพระทัยตั้งมั่น เมื่อเสด็จพระพุทธดำเนินก็
                         ไม่ต้องเสด็จไปช้านัก พระองค์มิได้ทรงจ้องมอง
                         เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ทิศใหญ่ ทิศน้อย
                         อย่างนั้น เสด็จไป ทอดพระเนตรเพียงชั่วแอก.
                         พระชินเจ้าพระองค์นั้นทรงมีอาจาระน่าชม ดัง
                         พระยาช้าง สง่างามในอาการเสด็จพระพุทธดำเนิน
                         พระผู้เป็นเลิศแห่งโลก เสด็จพระพุทธดำเนินงามนัก
                         ทรงยังมนุษย์โลกกับทั้งเทวโลกให้ร่าเริงสง่างามดัง
                         พระยาอุสภราช ดังไกรสรราชสีห์ ที่เที่ยวไปทั้งสี่ทิศ
                         ทรงยังสัตว์เป็นอันมากให้ยินดี เสด็จถึงบุรีอันประเสริฐ
                         สุด ดังนี้.
               นัยว่า เวลานี้เป็นเวลาแห่งพรรณนา. เรี่ยวแรงเท่านี้ เป็นข้อสำคัญสำหรับพระธรรมกถึกในการพรรณนาพระสรีระ หรือพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้าในกาลทั้งหลายอย่างนี้. ยังสามารถพรรณนาด้วยคำร้อยแก้ว หรือคำร้อยกรองได้เท่าใด ก็ควรกล่าวเท่านั้น ไม่ควรพูดว่า กล่าวยาก.
               แท้จริงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระคุณหาประมาณมิได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าด้วยกันเอง ก็ยังไม่สามารถพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยไม่ให้หลงเหลือได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงหมู่สัตว์นอกจากนี้เล่า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่พระบุรีของศากยราช อันประดับตกแต่งด้วยสิริวิลาสอย่างนี้ อันชนมีจิตเลื่อมใสบูชาด้วยของหอมธูปเครื่องอบและจุรณเป็นต้น เสด็จเข้าสู่สันถาคาร เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ภควา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน นวํ สนฺถาคารํ เตนุปสงฺกมิ ดังนี้. คำว่า ภควนฺตํ เยว ปุรกฺขตฺวา ความว่า กระทำพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ข้างหน้า ณ สันถาคารนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งกลางเหล่าภิกษุและเหล่าอุบาสก ทรงรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง เสมือนรูปปฏิมาที่หล่อด้วยทองคำแท่งสีแดงที่บุคคลสรงสนานด้วยน้ำหอม เช็ดทำสะอาดด้วยผ้าเทริดจนแห้งแล้ว ฉาบทาด้วยชาดสีแดง ตั้งไว้บนตั่งที่คลุมด้วยผ้ากัมพลแดงฉะนั้น.
               แนวทางพรรณนาพระคุณของท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายในข้อนี้มีดังนี้.
                                   พระผู้เลิศแห่งโลก มีจรณะ น่าชม
                         ดังพระยาช้าง เสด็จไปสู่โรงมณฑล (พิธี)
                         เปล่งพระรัศมี ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์
                         อันประเสริฐ พระผู้เป็นสารถีฝึกคนที่ควร
                         ฝึก เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ มีพระบุณยลักษณ์
                         ร้อยหนึ่ง ประทับนั่ง ณ ที่นั้น อยู่ท่ามกลาง
                         พุทธอาสน์ทรงรุ่งเรือง เสมือนแท่งทองอัน
                         บุคคลวางไว้ บนผ้ากัมพลเหลืองฉะนั้น
                                   พระผู้ปราศจากมลทินสง่างามเหมือน
                         แท่งทองชมพูนุท ที่เขาวางไว้บนผ้ากัมพลสี
                         เหลือง เหมือนแก้วมณีส่องประกายอยู่ฉะนั้น
                         ทรงสง่างามเหมือนต้นสาละใหญ่ ออกดอก
                         สะพรั่ง อันเป็นเครื่องประดับของขุนเขาเมรุ
                         ราชฉะนั้น เปล่งแสงเหมือนปราสาททอง
                         เหมือนดอกปทุมโกกนทเหมือนต้นประทีป
                         ส่องสว่าง เหมือนดวงอัคคีบนยอดเขา
                         เหมือนต้นปาริฉัตรของทวยเทพอันดอกบาน
                         สะพรั่งฉะนั้น.
               ปกิณณกกถาที่ประกอบด้วยการอนุโมทนาฉลองสันถาคาร พึงทราบว่าชื่อธรรมีกถา ในที่นี้ว่า กาปิลวตฺถุเก สกฺเย พหุเทว รตฺตึ ธมฺมิยา กถาย.
               จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปกิณณกกถา ที่นำประโยชน์สุขมาให้พวกเจ้าศากยะชาวกรุงกบิลพัสดุ์ ประดุจทรงยังพวกเจ้าศากยะให้ข้ามอากาศ คงคา๒- ประดุจทรงควักโอชะแห่งปฐพีมาให้ ประดุจทรงจับต้นหว้าใหญ่สั่น ประดุจทรงกวาดรวงผึ้งขนาดโยชน์หนึ่งด้วยจักรยนต์ ให้พวกเจ้าศากยะดื่มน้ำผึ้งฉะนั้น ว่า
               ดูก่อนมหาบพิตร การถวายที่อยู่เป็นทานใหญ่ ที่อยู่ของพวกท่าน เราตถาคตก็ใช้สอยแล้ว ภิกษุสงฆ์ก็ใช้สอยแล้ว ที่อยู่ที่เราตถาคตและภิกษุสงฆ์ใช้สอยแล้ว ก็เป็นอันพระธรรมรัตนะ ก็ใช้สอยแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าพระรัตนะทั้งสามใช้สอยแล้ว ก็เมื่อพวกท่านถวายอาวาสทานแล้ว ทานทั้งปวง ก็เป็นอันพวกท่านถวายแล้วเหมือนกัน ธรรมดาอานิสงส์ของบรรณศาลาที่ตั้งอยู่บนพื้นดินก็ดี มณฑปที่ตั้งอยู่บนกิ่งไม้ก็ดี ใครๆ ก็ไม่สามารถกำหนดได้.
____________________________
๒- ดูอธิบายในอรรถกถาโปตลิยสูตร ต่อจากสูตรนี้.

               ครั้นตรัสธรรมกถาเป็นอันมาก มีนัยวิจิตรนานาประการแล้ว ก็ตรัสพระคาถา (วิหารทานคาถา) ว่า
                                   วิหารย่อมป้องกันหนาวร้อน และสัตว์ร้าย
                         ทั้งหลาย งูและยุงและฝนทั้งหลายในฤดูหนาว
                         แต่นั้นลมและแดดอันร้ายที่เกิดเอง ย่อมบรรเทา
                         ไป.
                                   การถวายวิหารแก่สงฆ์เพื่ออยู่เร้น เพื่อสุข
                         เพื่อเพ่งฌาน เพื่อเจริญวิปัสสนา พระพุทธะทั้ง
                         หลายสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ เพราะฉะนั้น
                         แล คนผู้เป็นบัณฑิตเมื่อพิจารณาเห็นสุขของตน
                         พึงสร้างวิหารที่น่ารื่นรมย์ให้ภิกษุพวกพหูสูตอยู่
                         อาศัย.
                                   อนึ่ง พึงถวายข้าวน้ำ ผ้าและเสนาสนะแก่
                         ภิกษุเหล่านั้น มีใจเลื่อมใสในท่านผู้ปฏิบัติตรง
                         เขารู้ทั่วถึงธรรมอันใด ในธรรมวินัยนี้แล้ว เป็น
                         ผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน ภิกษุพหูสูตเหล่านั้น
                         ย่อมแสดงธรรมเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่
                         เขาแล.
               อานิสงส์ในอาวาสทานแม้นี้ ก็มีด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า อยมฺปิจานิสํโส ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอานิสังสกถาในอาวาสทานตลอดราตรีเป็นอันมาก คือเกินสองยามครึ่ง.
               ในพระบาลีนั้น คาถาเหล่านี้เท่านั้น ท่านยกขึ้นสู่สังคีติ (สังคายนา) ส่วนปกิณธรรมเทศนาหาขึ้นสู่สังคีติไม่.
               คำว่า สนฺทสฺเสมิ เป็นต้น มีเนื้อความที่กล่าวแล้วทั้งนั้น.
               คำว่า อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะให้ท่านพระอานนท์กล่าวธรรมกถา จึงรับสั่งให้ทราบ.
               ถามว่า ก็เมื่อพระมหาเถระผู้เป็นพระอสีติมหาสาวก เช่นท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระมหากัสสปะเป็นต้น ก็มีอยู่ เหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมอบภาระให้ท่านพระอานนท์เถระเล่า?
               ตอบว่า เพราะอำนาจอัธยาศัยของบริษัท.
               เป็นความจริง ท่านพระอานนท์มีชื่อเสียงปรากฏไปในฝ่ายเจ้าศากยะว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นพหูสูต สามารถจะกล่าวธรรมกถาได้ไพเราะ ด้วยบทพยัญชนะที่กลมกล่อม เหล่าเจ้าศากยะแม้เสด็จไปพระวิหาร ก็เคยฟังธรรมกถาของท่าน.
               ส่วนฝ่ายในแห่งเจ้าศากยะเหล่านั้นไม่ได้โอกาสที่จะไปยังพระวิหารได้ตามความพอใจ เจ้าศากยะเหล่านั้นจึงได้ดำริอยู่แต่ในใจว่า น่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสธรรมกถาแต่น้อยๆ แล้วทรงมอบภาระให้ท่านพระอานนท์ พระญาติผู้ประเสริฐของเรา.
               เพราะอำนาจอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมอบภาระให้ท่านพระอานนท์นั้นแต่องค์เดียว.
               คำว่า เสโขปฏิปโท ได้แก่ เป็นเสขสมณะผู้ปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสว่า เสขปฏิปทาจงแจ่มแจ้ง ปรากฏแก่เธอ เธอจงแสดงปฏิปทาของเสขสมณะนั้น ทรงกำหนดบุคคลแสดงด้วยปฏิปทา.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงกำหนดปฏิปทานี้.
               ตอบว่า เพราะเหตุหลายอย่าง.
               ก่อนอื่น เจ้าศากยะเหล่านี้มุ่งหวังมงคล ปรารถนาความเจริญแก่มงคลศาลา. อนึ่ง เสขปฏิทานี้เป็นมงคลปฏิปทา เป็นปฏิปทาของผู้เจริญอยู่ในพระศาสนาของเรา แม้เพราะเหตุนี้ จึงทรงกำหนดปฏิปทานี้.
               อนึ่ง พระเสขบุคคลเป็นอันมากนั่งอยู่ในบริษัทของพระองค์ เมื่อพระองค์ตรัสฐานะที่ทรงแทงตลอดด้วยพระองค์เองแล้ว พระเสขบุคคลเหล่านั้นจักกำหนดได้อย่างไม่ลำบากเลย แม้เพราะเหตุนี้จึงทรงกำหนดปฏิปทานี้. อนึ่งเล่า ท่านพระอานนท์ก็บรรลุเสขปฏิสัมภิทา ท่านกล่าวในฐานะอันประจักษ์ที่ท่านแทงตลอดแล้วด้วยตนเอง ก็ไม่ลำบาก จักสามารถทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ แม้เพราะเหตุนี้ จึงทรงกำหนดปฏิปทานี้. อนึ่ง สิกขาแม้ทั้งสามก็รวมอยู่ในเสขปฏิปทาแล้ว ในสิกขาทั้งสามนั้น เมื่อท่านกล่าวอธิศีลสิกขา วินัยปิฏกทั้งหมดก็เป็นอันท่านกล่าวไว้แล้ว เมื่อกล่าวอธิจิตตสิกขา สุตตันตปิฏกทั้งหมดก็เป็นอันท่านกล่าวไว้แล้ว เมื่อกล่าวอธิปัญญาสิกขา อภิธรรมปิฏกทั้งหมดก็เป็นอันท่านกล่าวไว้แล้ว.
               อนึ่ง พระอานนท์เป็นพหูสูตทรงพระไตรปิฏก ท่านสามารถจะกล่าวสิกขาทั้งสามด้วยปิฏกทั้งสามได้ เมื่อท่านกล่าวอย่างนี้ มงคลและความเจริญอย่างเดียวจักมีแก่เหล่าเจ้าศากยะ แม้เพราะเหตุนี้ จึงทรงกำหนดปฏิปทานี้.
               ถามว่า ในพระบาลีว่า หลังของเราไม่ค่อยสบายนี้ เหตุไร พระปฤษฎางค์จึงไม่สบาย.
               ตอบว่า เพราะเมื่อทรงตั้งความเพียรอยู่ ๖ ปี ทุกข์ทางพระวรกายก็มีมาก ต่อมาภายหลังครั้งทรงพระชรา ลมเบื้องพระปฤษฎางค์ก็เกิดแก่พระองค์.
               หรือว่า ข้อนั้นยังไม่เป็นสาเหตุ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงสามารถเพื่อจะข่มเวทนาที่เกิดขึ้น ประทับนั่งโดยอิริยาบถเดียวได้ถึงสัปดาห์หนึ่งบ้าง สองสัปดาห์บ้าง แต่มีพระพุทธประสงค์จงทรงใช้ศาลาสันถาคารด้วยอิริยาบถทั้งสี่ จึงได้ทรงพุทธดำเนินตั้งแต่ที่ชำระพระหัตถ์และพระบาท จนประทับนั่งเหนืออาสนะ แสดงธรรม เสด็จพระพุทธดำเนินในที่เช่นนี้ ถึงอาสนะแสดงธรรม ค่อยๆ ประทับยืนแล้วประทับนั่ง ประทับนั่งเหนืออาสนะแสดงธรรมสองยามครึ่ง ในที่เช่นนี้ สำเร็จการประทับนั่งในที่เช่นนี้ บัดนี้ เมื่อทรงบรรทมโดยพระปรัศว์เบื้องขวา ก็สำเร็จการบรรทม พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงใช้ด้วยอิริยาบถสี่ ดังกล่าวมาด้วยประการฉะนี้ ไม่ควรกล่าวว่า ก็ธรรมดาสรีระที่มีวิญญาณครองของเรา ไม่สบายดังนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาความไม่สบายแม้เล็กน้อย ที่เกิดจากประทับนั่งนาน จึงตรัสอย่างนี้.
               คำว่า สงฺฆาฏึ ปญฺญเปตฺวา ความว่า
               นัยว่า พวกเจ้าศากยะเหล่านั้นให้กั้นม่านผ้าไว้ที่ส่วนข้างหนึ่งของสันถาคาร ให้จัดตั้งเตียงที่สมควร แล้วลาดด้วยเครื่องลาดที่สมควรแล้วติดเพดานประดับด้วยดาวทอง พวงมาลัยหอมไว้ข้างบน ตามประทีปน้ำมันหอมไว้ ด้วยทรงดำริว่า ไฉนหนอพระศาสดาจักเสด็จลุกขึ้นจากธรรมาสน์ แล้วพักหน่อยหนึ่ง จะทรงบรรทม ณ ที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สันถาคารนี้เป็นอันพระศาสดาทรงใช้แล้วด้วยอิริยาบถ ๔ ก็จักเป็นประโยชน์สุขแก่พวกเราตลอดกาลนาน.
               แม้พระศาสดาก็ทรงทราบอัธยาศัยนั้นนั่นแล จึงทรงปูสังฆาฏิบรรทม ณ ที่นั้น.
               คำว่า อุฏฺฐานสญฺญํ มนสิกริตฺวา ความว่า ทรงตั้งอุฏฐานสัญญาไว้ในใจว่า ล่วงเวลาเท่านี้ เราจักลุกขึ้น.
               คำว่า มหานามํ สกฺกํ อามนฺเตสิ ความว่า นัยว่า ในเวลานั้น เจ้ามหานามศากยะเป็นหัวหน้าสูงสุดในบริษัทนั้น เมื่อท่านพระอานนท์สงเคราะห์เจ้ามหานามนั้นแล้ว ก็เป็นอันสงเคราะห์บริษัทส่วนที่เหลือด้วย เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงเรียกเฉพาะเจ้ามหานามศากยะนั้นองค์เดียว.
               คำว่า สีลสมฺปนฺโน แปลว่า ถึงพร้อมด้วยศีล. อธิบายว่า มีศีลสมบูรณ์ มีศีลบริบูรณ์.
               คำว่า สทฺธมฺเมหิ แปลว่า ด้วยธรรมอันดี หรือด้วยธรรมของคนดี คือสัตบุรุษ. ด้วยคำว่า กถํ จ มหานาม นี้ พระเถระประสงค์จะตั้งแม่บทแห่งเสขปฏิปทาด้วยฐานะเท่านี้แล้ว อธิบายให้พิสดารโดยลำดับ จึงกล่าวอย่างนี้.
               คำว่า สีลสมฺปนฺโน เป็นต้น ในพระบาลีนั้น บัณฑิตพึงทราบตามนัยที่ตรัสไว้แล้วในอากังเขยยสูตร เป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์อยู่เถิดดังนี้.
               ในคำว่า กายทุจฺจริเตน เป็นต้น เป็นตติยาวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. อธิบายว่า ละอาย เกลียดกายทุจริตเป็นต้นที่ควรละอาย.
               คำว่า กายทุจฺจริเตน เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถเหตุ ในนิทเทสแห่งโอตตัปปะ. อธิบายว่า เกรงกลัวแต่กายทุจริตเป็นต้น อันเป็นตัวเหตุแห่งโอตตัปปะ.
               คำว่า อารทฺธวิริโย คือ ผู้มีความเพียรอันประคองไว้ มีใจไม่ย่อหย่อน.
               คำว่า ปหานาย คือ เพื่อประโยชน์แก่การละ.
               คำว่า อุปสมฺปทาย คือ เพื่อประโยชน์แก่การกลับได้.
               คำว่า ถามวา คือ ผู้ประกอบด้วยเรี่ยวแรงคือความเพียร.
               คำว่า ทฬฺหปรกฺกโม คือ ผู้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง.
               คำว่า อนิกฺขิตฺตธุโร กุสเลสุ ธมฺเมสุ ความว่า ผู้มีธุระอันไม่ทอดทิ้ง มีความเพียรอันไม่ย่อหย่อนในกุศลธรรม.
               คำว่า ปรเมน คือ สูงสุด.
               คำว่า สติเนปกฺเกน คือ ด้วยสติและความเป็นผู้มีปัญญารักษาตน.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ปัญญาจึงมาในบทภาชนีย์ของสติ.
               ตอบว่า เพื่อแสดงความที่สติมีกำลัง. แท้จริง สติที่ปราศจากปัญญาย่อมอ่อนกำลัง สติที่ประกอบด้วยปัญญาย่อมมีกำลัง.
               คำว่า จิรกตํปิ ความว่า การบำเพ็ญข้อปฏิบัติคือมหาวัตร ๘๐ มีเจติยังคณวัตรเป็นต้นอันตนเองหรือคนอื่นกระทำด้วยกายมานาน.
               คำว่า จิรภาสิตํปิ ความว่า คำที่ตนเองหรือผู้อื่นกล่าวด้วยวาจามานาน ได้แก่กถาที่ว่าด้วยการอุทิศเอง การให้ผู้อื่นอุทิศ การประชุมธรรม การแสดงธรรมและเลียบเคียงด้วยความเคารพ คือวจีกรรมที่เป็นไปด้วยอำนาจถ้อยคำที่ควรอนุโมทนาเป็นต้น.
               คำว่า สริตา อนุสฺสริตา ความว่า เมื่อกายกรรมนั้นกระทำมานานด้วยกาย ชื่อว่ากาย เป็นกายวิญญัติ เมื่อวจีกรรมกล่าวมานาน ชื่อว่าวาจา เป็นวจีวิญญัติ แม้ทั้งสองอย่างนั้น เป็นรูปจิตและเจตสิกที่ยังรูปนั้นให้ตั้งขึ้นเป็นรูป ย่อมระลึกและตามระลึกว่า รูปธรรมและอรูปธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นอย่างนี้ ดับไปอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               อธิบายว่า ยังสติสัมโพชฌงค์ให้ตั้งขึ้น แท้จริงในที่นี้ท่านประสงค์เอาสติที่ยังโพชฌงค์ให้ตั้งขึ้นด้วยสตินั้น อริยสาวกนั้นพึงทราบว่า ชื่อว่าสริตา เพราะระลึกได้ครั้งเดียว. ชื่อว่าอนุสฺสริตา เพราะระลึกได้บ่อยๆ.
               คำว่า อุทยตฺถคามินิยา ความว่า อันถึงความเกิดและความเสื่อม คือสามารถเพื่อจะรู้ชัดซึ่งความเกิดและความเสื่อมแห่งขันธ์ทั้งห้า.
               คำว่า อริยาย ความว่า หมดจดเพราะตั้งอยู่ไกลจากกิเลสทั้งหลายโดยข่มไว้ และโดยตัดได้ขาด.
               คำว่า ปญฺญาย สมนฺนาคโต คือ เป็นผู้พร้อมด้วยวิปัสสนาปัญญา และมรรคปัญญา.
               ในคำว่า นิพฺเพธิกาย ความว่า วิปัสสนาปัญญา และมรรคปัญญานั้นแล ท่านเรียกว่านิพเพธิกา เพราะเป็นเครื่องแทงตลอด. อธิบายว่า ประกอบด้วยนิพเพธิกปัญญานั้น.
               บรรดาวิปัสสนาปัญญาและมรรคปัญญาทั้งสองนั้น มรรคปัญญาชื่อว่านิพเพธิกา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าเจาะแทง คือทำลายกองโลภะ กองโทสะ กองโมหะที่ไม่เคยเจาะแทงที่ไม่เคยทำลายเสียได้โดยตัดได้ขาด. วิปัสสนาปัญญาชื่อว่านิพเพธิกา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าเจาะแทงทำลายกองโลภะเป็นต้นได้โดยเจาะแทงทำลายได้ชั่วขณะ และเพราะเป็นไปเพื่อได้มาซึ่งมรรคปัญญา อันเป็นเครื่องเจาะแทง เพราะเหตุนั้น วิปัสสนาปัญญาจะเรียกว่านิพเพธิกาก็ควร. มรรคปัญญาทำทุกข์ในวัฏฏะให้สิ้นไปโดยชอบ คือ โดยเหตุ โดยนัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ.
               แม้ในคำว่า สมฺมาทุกฺขกฺขยคามินิยา วิปัสสนาทำทุกข์ในวัฏฏะและทุกข์ เพราะกิเลสให้สิ้นไป ด้วยอำนาจตทังคปหาน เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์.
               อีกอย่างหนึ่ง วิปัสสนานั้นก็พึงทราบว่าเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์ แม้เพราะเป็นไปเพื่อได้มาซึ่งมรรคปัญญาอันเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์.
               คำว่า อภิเจตสิกานํ ความว่า อันอิงอาศัยจิตอันยิ่ง จิตอันประเสริฐ.
               คำว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหารานํ ความว่า อันเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งสุขในขณะที่เอิบอิ่ม.
               คำว่า นิกามลาภี ความว่า เข้าสมาบัติในขณะที่ต้องการๆ.
               คำว่า อกิจฺฉลาภี คือ ได้ไม่ยาก.
               คำว่า อกสิรลาภี คือ ได้อย่างไพบูลย์.
               พระอริยสาวกรูปหนึ่งสามารถเข้าสมาบัติได้ ในขณะที่ต้องการ เพราะเป็นผู้คล่องแคล่ว แต่อีกรูปหนึ่งไม่ลำบาก แต่ไม่สามารถข่มธรรมที่เป็นอันตรายแห่งสมาธิไว้ได้ เธอก็ออกจากสมาบัติไปทันที เพราะตนไม่ปรารถนา ไม่สามารถดำรงสมาบัติไว้ได้ โดยเวลาตามที่กำหนดไว้ อริยสาวกนี้ชื่อว่าได้ยาก ได้ลำบาก.
               ส่วนอริยสาวกรูปหนึ่งสามารถเข้าสมาบัติได้ในขณะที่ต้องการ ทั้งไม่ลำบาก ในธรรมที่มีสมาธิบริสุทธิ์ ก็ข่มใจไว้ได้ เธอสามารถออกจากสมาบัติโดยเวลาตามที่กำหนดไว้ได้ อริยสาวกนี้ชื่อว่าได้โดยไม่ยาก ทั้งชื่อว่าได้โดยไม่ลำบาก.
               ด้วยคำว่า อยํ วุจฺจติ มหานาม อริยสาวโก เสโข ปาฏิปโท นี้ พระเถระแสดงว่า ดูก่อนท่านมหานาม อริยสาวกผู้ปฏิบัติเสขปฏิปทา ท่านเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นไปเพื่อห้องแห่งวิปัสสนา.
               คำว่า อปุจฺจณฺฑตาย คือ เพราะความเป็นกะเปาะไข่ที่ไม่เสีย.
               คำว่า ภพฺโพ อภินิพฺภิทาย คือ ควรเพื่อกระเทาะออกด้วยอำนาจฌาน.
               คำว่า สมฺโพธาย คือ เพื่ออริยมรรค.
               ด้วยคำว่า อนุตฺตรสฺส โยคกฺเขมสฺส นี้ พระเถระแสดงว่า พระอรหัตชื่อว่าธรรมอันเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ควรเพื่อบรรลุธรรมนั้น ข้ออุปมาที่ท่านนำมาเพื่อแสดงข้อความในพระสูตรนี้ บัณฑิตพึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ในเจโตขีลสูตรนั่นแล.
               ก็การเทียบเคียงข้ออุปมาอันใดมาในเจโตขีลสูตรนั้น อย่างที่ว่า ความเพียรยิ่งของภิกษุนี้ คือความที่ภิกษุนี้เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๕ นั้น ก็เหมือนการกระทำกิริยา ๓ อย่างในกะเปาะไข่ของแม่ไก่นั้น การเทียบเคียงข้ออุปมานั้น บัณฑิตพึงประกอบความอย่างนี้ว่า ความที่ภิกษุนี้พร้อมด้วยธรรม ๑๕ มีความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลเป็นต้น ก็เหมือนการกระทำกิริยา ๓ อย่างในกะเปาะไข่ของแม่ไก่นั้น แล้วพึงทราบอย่างเดียวกัน เพราะพระบาลีว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้เป็นต้น.
               คำที่เหลือก็เช่นเดียวกับคำที่ท่านกล่าวไว้ในที่ทั้งปวงนั่นแล.
               คำว่า อิมํเยว อนุตฺตรํ อุเปกฺขา สติปาริสุทฺธึ ความว่า อันเป็นจตุตถฌานอันสูงสุด ไม่เหมือนกับปฐมฌานเป็นต้น อันนี้.
               คำว่า ปฐมา อภินิพฺภิทา คือการทำลายด้วยฌานครั้งแรก แม้ในครั้งที่สองเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน
               ก็ลูกไก่เกิดสองครั้ง คือออกจากท้องแม่ครั้งหนึ่ง ออกจากกะเปาะไข่ครั้งหนึ่ง, อริยสาวกเกิดสามครั้งด้วยวิชชาสาม คือบรรเทาความมืดที่ปกปิดขันธ์ที่เคยอาศัยในปางก่อน เกิดครั้งที่หนึ่งด้วยปุพเพนิวาสญาณ. บรรเทาความมืดที่ปกปิดจุติปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย แล้วเกิดครั้งที่สองด้วยทิพยจักษุญาณ. บรรเทาความมืดที่ปกปิดสัจจะทั้งสี่ แล้วเกิดครั้งที่สามด้วยอาสวักขยญาณ.
               คำว่า อิทํ ปิสฺส โหติ จรณสฺมึ ความว่า แม้อันนี้ก็ย่อมชื่อว่าจรณะของภิกษุผู้มีศีล ชื่อว่าจรณะมีมากมิใช่อย่างเดียว ได้แก่ ธรรม ๑๕ มีศีลเป็นต้น.
               อธิบายว่า ในธรรม ๑๕ นั้น แม้ศีลนี้ก็เป็นจรณะอย่างหนึ่ง แต่โดยใจความเฉพาะบท ผู้ใดเที่ยว คือไปสู่ทิศที่ไม่เคยไปด้วยคุณชาตินี้ เหตุนั้น คุณชาตนี้ชื่อว่าจรณะ เครื่องเที่ยวไป. ในที่ทุกแห่งก็มีนัยนี้.
               คำว่า อิทํ ปิสฺส โหติ วิชฺชาย ความว่า ปุพเพนิวาสญาณนี้ย่อมชื่อว่าวิชชาของภิกษุนั้น. ชื่อว่าวิชชามีมากมิใช่อย่างเดียว ได้แก่ ญาณ ๘ มีวิปัสสนาญาณเป็นต้น.
               อธิบายว่า ในญาณ ๘ นั้น ญาณแม้นี้ก็ชื่อว่าวิชชาอย่างหนึ่ง แต่โดยใจความเฉพาะบท ผู้ใดรู้แจ้งแทงตลอดด้วยคุณชาตนี้ เหตุนั้น คุณชาตนี้ชื่อว่าวิชชา เครื่องรู้แจ้งแทงตลอด.
               คำว่า วิชฺชาสมฺปนฺโน อติปิ ความว่า ถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ เรียกว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาดังนี้บ้าง.
               คำว่า จรณสมฺปนฺโน อิติปิ ความว่า ถึงพร้อมด้วยธรรม ๑๕ เรียกว่าผู้สมบูรณ์ด้วยจรณะดังนี้บ้าง.
               คำว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน อิติปิ ความว่า ส่วนผู้ถึงพร้อมด้วยทั้งสองอย่างนั้น เรียกว่าผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะดังนี้บ้าง.
               คำว่า สนฺนงฺกุมาเรน๓- คือ เด็กโบราณที่ปรากฏชื่อว่ากุมารมาตั้งแต่กาลไกลโน้น. เล่ากันว่า ในถิ่นมนุษย์ สันนังกุมารนั้นทำฌานให้บังเกิดครั้งยังเป็นเด็กไว้จุก ๕ จุก ฌานก็ไม่เสื่อมไปบังเกิดในพรหมโลก อัตภาพของเขาน่ารักน่าพอใจ เพราะฉะนั้น เขาจึงเที่ยวไปด้วยอัตภาพเช่นนั้น ด้วยเหตุนั้น คนทั้งหลายจึงให้สมญานามเขาว่า สันนังกุมาร.
____________________________
๓- บาลีเป็นสนังกุมาร.

               คำว่า ชเนตสฺมึ คือ ในหมู่ชน. อธิบายว่า ในหมู่ประชาชน.
               คำว่า เย โคตฺตปฏิสาริโน ความว่า ชนเหล่าใดยึดถือโคตร ในชนหมู่นั้นว่าเราเป็นโคตมะ เราเป็นกัสสปะ ในหมู่คนที่ยึดถือเรื่องโคตรนั้น กษัตริย์ก็เป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก.
               คำว่า อนุมตา ภควตา ความว่า คาถานี้ เราเทียบเคียงแสดงพร้อมด้วยปัญหาพยากรณ์ของเรา.
               ในอัมพัฏฐสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสว่า
               ดูก่อนอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวอย่างนี้ว่า
                         ในหมู่ชนที่ยังยึดถือในเรื่องโคตร กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุด
                         คนที่สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่
                         เทวดาและมนุษย์.

               ก็ทรงอนุมัติ คือทรงอนุโมทนา.
               ตามคาถานี้ คำว่า สาธุ สาธุ อานนฺท ความว่า
               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่หยั่งลงสู่นิทรารมณ์มาตั้งแต่ต้น ทรงสดับพระสูตรนี้ ทรงทราบว่า อานนท์จับยึดเอายอดเสขปฏิปทา จึงเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ได้ประทานสาธุการรับรอง ดังนั้น พระสูตรนี้ด้วยพระวาจาเพียงเท่านี้จึงเกิดชื่อว่า เป็นภาษิตของพระชินเจ้า.
               คำที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาเสขปฏิปทาสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหบดีวรรค เสขปฏิปทาสูตร ว่าด้วยผู้มีเสขปฏิปทา จบ.
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 18อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 24อ่านอรรถกถา 13 / 36อ่านอรรถกถา 13 / 734
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=480&Z=659
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=9&A=300
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=9&A=300
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :