ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 493อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 505อ่านอรรถกถา 12 / 514อ่านอรรถกถา 12 / 557
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค
จูฬเวทัลลสูตร การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ

               อรรถกถาจุลลเวทัลลสูตร               
               จุลลเวทัลลสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
               ในคำเหล่านั้น คำว่า "วิสาขอุบาสก" ได้แก่ อุบาสกผู้มีชื่ออย่างนั้นว่า "วิสาข".
               คำว่า "โดยที่ใดนางธรรมทินนา" คือ เข้าไปหาถึงที่ซึ่งภิกษุณีชื่อธรรมทินนาอยู่.
               วิสาขะนี้ คือใครกันเล่า
               นางธรรมทินนาเป็นใคร
               ทำไมจึงเข้าไปหา
               เมื่อนางธรรมทินนายังเป็นคฤหัสถ์ วิสาขะเป็นเจ้าของเรือน (เป็นสามี) เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วทรงหมุนล้อพระธรรมอันประเสริฐ ได้ทรงแนะนำกุลบุตรมียสเป็นต้น เสด็จบรรลุถึงตำบลอุรุเวลา. ในที่นั้นได้ทรงแนะนำชฎิลพันคนแล้ว เสด็จดำเนินไปยังกรุงราชคฤห์กับหมู่ภิกษุขีณาสพชฏิลเก่า แล้วทรงแสดงธรรมถวายพระเจ้าพิมพิสารมหาราช ซึ่งเสด็จดำเนินมาพร้อมกับบริษัทแสนสองหมื่นคนเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า.
               ในแสนสองหมื่นคนที่มาพร้อมกับพระราชาในครั้งนั้น หนึ่งหมื่นคนประกาศตนเป็นอุบาสก. อีกหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคนพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
               อุบาสกนี้เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น เมื่อดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ในการเฝ้าครั้งแรกนั่นเองพร้อมกับคนเหล่านั้นแล้ว ในอีกวันหนึ่งก็ได้ฟังธรรมสำเร็จสกทาคามิผล แต่นั้นมาในภายหลังวันหนึ่ง ได้ฟังธรรมจึงได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล เมื่อได้เป็นพระอนาคามีแล้วมาสู่เรือน ไม่ได้มาอย่างวันเหล่าอื่นที่มองนั่นดูนี่ หัวเราะยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามา หากแต่กลายเป็นคนสงบอินทรีย์มีใจสงบเดินเข้าไป.
               นางธรรมทินนาแง้มหน้าต่างพลางมองไปที่ถนนเห็นเหตุการณ์ในการมาของเขาแล้วก็คิดว่า "นี่อะไรกันหนอ" เมื่อยืนที่หัวบันไดทำการต้อนรับเขา พลางก็เหยียดมือยื่นออกไป. อุบาสกกลับหดมือของตนเสีย. นางคิดว่า "เราจะรู้ในเวลารับประทานอาหารมื้อเช้า". แต่ก่อนมาอุบาสกย่อมรับประทานพร้อมกันกับนาง แต่วันนั้นไม่ยอมมองนาง ทำราวกะว่าโยคาวจรภิกษุรับประทานคนเดียวเท่านั้น. นางคิดว่า "เวลานอนเราจะรู้" อุบาสกไม่ยอมเข้าห้องพระศรีนั้น สั่งให้จัดห้องอื่นให้ตั้งเตียงน้อยที่สมควรแล้วนอน.
               อุบาสิกามาคิดว่า "อะไรกันหนอ เขามีความปรารถนาข้างนอก หรือคงถูกผู้ชอบยุแหย่คนใดคนหนึ่ง ยุให้แตก? หรือว่า เรานี่แหละมีความผิดอะไรๆ" แล้วก็เกิดเสียใจอย่างแรง ตัดสินใจว่า "ตลอดเวลาวันสองวันที่เขาอยู่นี่แหละ จะต้องรู้ให้จนได้" แล้วจึงไปสู่ที่บำรุงเขาไหว้แล้วก็ยืนอยู่.
               อุบาสกถามว่า "ธรรมทินนา ทำไมจึงมาผิดเวลาล่ะ"
               ธรรม. "ค่ะ ลูกเจ้า. ดิฉันมา, ท่านไม่เหมือนคนเก่า, ขอถามหน่อยเถิดค่ะว่า ท่านมีความปรารถนาภายนอกหรือคะ?"
               อุ. "ไม่มีหรอก ธรรมทินนา."
               ธรรม. "มีใครอื่นเป็นคนยุแหย่หรือคะ"
               อุ. "แม้นี้ก็ไม่มี"
               ธรรม. "เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวดิฉันเองคงจะมีความผิดไรๆ หรือคะ?"
               อุ. "ถึงเธอเอง ก็ไม่มีความผิด"
               ธรรม. "แล้วทำไมท่านจึงไม่ทำแม้เพียงการพูดจาปราศรัยตามปกติกับดิฉันเล่าคะ"
               เขาคิดว่า "ชื่อว่าโลกุตตรธรรมนี้เป็นภาระหนักไม่พึงเปิดเผย แต่ถ้าแลเราไม่บอก ธรรมทินนานี้จะพึงหัวใจแตกตายในที่นี้เอง" เพื่ออนุเคราะห์นางจึงบอกว่า "ธรรมทินนา ฉันฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วได้บรรลุโลกุตตรธรรม ผู้ได้บรรลุโลกุตตรธรรมนั้นแล้ว การกระทำแบบโลกๆ อย่างนี้ ย่อมไม่เป็นไป. ถ้าเธอต้องการ ทรัพย์ส่วนของเธอ ๔๐๐ ล้าน ส่วนของฉันอีก ๔๐๐ ล้าน รวมแล้วก็มีทรัพย์อยู่ ๘๐๐ ล้าน เธอเป็นใหญ่ในที่นี้แล้วจงอยู่ดำรงตำแหน่งแม่ หรือตำแหน่งน้องสาวของฉันก็ได้ ฉันจะขอเลี้ยงชีพด้วยเพียงก้อนข้าวที่เธอให้. ถ้าเธอจะไม่ทำอย่างที่ว่ามานี้ ก็จงเอาโภคะเหล่านี้ไปเรือนตระกูลก็ได้ และก็ถ้าเธอมีความต้องการชายภายนอก ฉันก็จะตั้งเธอไว้ในตำแหน่งน้องสาว หรือตำแหน่งลูกสาวแล้วเลี้ยงดู".
               นางคิดว่า "ผู้ชายปกติจะไม่มีใครพูดอย่างนี้ เขาคงแทงทะลุโลกุตตรธรรมเป็นแน่ ก็ผู้ชายเท่านั้นหรือที่พึงแทงทะลุธรรมนั้นได้ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถแทงทะลุได้" จึงพูดกับวิสาขะว่า "ธรรมนั้นผู้ชายเท่านั้นหรือหนอที่พึงได้คะ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถได้ด้วยค่ะ"
               อุ. "พูดอะไร ธรรมทินนา ผู้ที่เป็นนักปฏิบัตินั้น [ปฏิปนฺนกา] ย่อมเป็นทายาทของธรรมนั้น ผู้ที่มีอุปนิสัยก็ย่อมได้รับธรรมนั้น"
               ธรรม. "เมื่อเป็นอย่างนั้น ขอให้ท่านยินยอมให้ดิฉันบวชค่ะ"
               อุ. "ดีแล้วที่รัก ฉันเองก็อยากจะแนะนำในทางนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ใจเธอ จึงไม่พูด" แล้วก็ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารในทันที ถวายบังคมแล้วก็ได้ยืนอยู่ พระราชาตรัสถามว่า "คฤหบดี ทำไมจึงได้มาผิดเวลาล่ะ"
               วิ. "ขอเดชะ นางธรรมทินนาพูดว่า ‘ดิฉันจะบวช’.
               ร. "นางสมควรจะได้อะไรเล่า"
               วิ. "ไม่มีอะไรอื่น, ได้วอทองและรับสั่งให้จัดตกแต่งพระนครก็เหมาะ ขอเดชะ".
               พระราชาประทานวอทองแล้วรับสั่งให้ตบแต่งพระนครแล้ว.
               วิสาขะให้นางธรรมทินนาอาบน้ำหอม ให้ประดับประดาด้วยเครื่องสำอางทุกอย่าง ให้นั่งบนวอทอง แวดล้อมด้วยหมู่ญาติ บูชาด้วยดอกไม้หอมเป็นต้นพลางเหมือนทำแก่พวกชาวกรุง ไปสู่สำนักภิกษุณีแล้วเรียนว่า "ขอให้นางธรรมทินนาบวชเถิด แม่เจ้า"
               พวกภิกษุณีพูดว่า "คฤหบดี กะความผิดอย่างหนึ่งหรือสองอย่าง ก็ควรจะอดทนได้".
               วิสาขะจึงเรียนว่า "ไม่มีความผิดอะไรหรอก แม่เจ้า เธอบวชด้วยศรัทธา".
               ลำดับนั้น ภิกษุณีผู้สามารถรูปหนึ่งจึงบอกกัมมัฏฐานหมวดห้าแห่งหนัง ให้โกนผมแล้วให้บวช. วิสาขะพูดว่า "แม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมไว้ดีแล้ว ท่านจงยินดีเถิด" ไหว้แล้วหลีกไป.
               ตั้งแต่วันที่นางบวชแล้ว ลาภสักการะก็เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น นางจึงยุ่งจนหาโอกาสทำสมณธรรมไม่ได้. ทีนั้น พวกพระเถรีที่เป็นอาจารย์และอุปัชฌาย์จึงพานางไปบ้านนอก แล้วก็ให้เรียนกัมมัฏฐานตามชอบใจในอารมณ์สามสิบแปดอย่างเริ่มทำสมณธรรม สำหรับนางลำบากไม่นาน เพราะเป็นผู้มีอภินิหารสมบูรณ์.
               ความสังเขปมีว่า
               ท้ายแสนกัปจากภัทกัปนี้ไป พระศาสดาทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงอุบัติในโลก. ครั้งนั้น นางธรรมทินนานี้เป็นหญิงคนใช้ในตระกูลหนึ่ง ขายผมของตนแล้วถวายทานแด่พระอัครสาวกชื่อสุชาตเถระ แล้วได้ทำความปรารถนาไว้.
               เพราะถึงพร้อมด้วยอภินิหารแห่งความปรารถนานั้น นางจึงไม่เหนื่อยมาก สองสามวันเท่านั้นเองก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วมาคิดว่า
               "เราได้บวชในศาสนาเพราะประโยชน์อันใด เราถึงที่สุดประโยชน์อันนั้นแล้ว เราอยู่บ้านนอกหาประโยชน์อะไร? พวกญาติเราจะทำบุญ, ถึงภิกษุณีสงฆ์ก็จะไม่ลำบากด้วยปัจจัย เราจะไปกรุงราชคฤห์"
               แล้วก็ได้พาภิกษุณีสงฆ์ไปกรุงราชคฤห์นั่นเอง.
               วิสาขะได้ฟังว่า "เขาว่า นางธรรมทินนามา" จึงคิดว่า "นางบวชแล้วไปบ้านนอกยังไม่นานเลย ก็กลับมาเมื่อไม่นานนี่เอง จักเป็นอย่างไรหนอ?" แล้วก็ได้ไปสำนักนางภิกษุณีด้วยการไปเป็นครั้งที่สอง. เพราะเหตุนั้น พระอานนท์จึงว่า "ครั้งนั้นแล วิสาขอุบาสกได้เข้าไปหานางธรรมทินนาถึงที่อยู่" ดังนี้.
               คำว่า "ได้กล่าวคำนี้แล้ว" คือ ได้กล่าวคำเป็นต้นว่า "กายของตน" นี้.
               ทำไมจึงได้กล่าว?
               เล่ากันมาว่า เขามีความคิดอย่างนี้ว่า "การจะถามอย่างนี้ว่า แม่เจ้ายังยินดีอยู่หรือ หรือไม่ยินดี" ไม่ใช่หน้าที่ของบัณฑิต เราจะน้อมเข้าไปในอุปาทานขันธ์ห้าแล้วถามปัญหา ด้วยการแก้ปัญหานั่นแหละ เราก็จะทราบว่านางมีความยินดีหรือไม่ยินดี ฉะนั้นจึงได้กล่าว.
               พอนางธรรมทินนาได้ฟังคำนั้น ไม่กล่าวว่า "คุณวิสาขะ! ดิฉันเพิ่งบวชมาไม่นานจะทราบกายตนหรือกายคนอื่นแต่ไหน" หรือว่า "คุณจงไปหาแล้วถามพระเถรีรูปอื่นเถิด" เมื่อดำรงอยู่ในวิสัยแห่งปัญญาเครื่องแตกฉานแก้ปัญหาอยู่ เหมือนรับของที่เขาฝาก เหมือนแก้เงื่อนบ่วงข้างหนึ่ง เหมือนถางทางช้างในที่รก เหมือนแงะกะติ๊บด้วยปลายดาบ จึงกล่าวว่า "คุณวิสาขะ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้แล" ดังนี้เป็นต้น.
               ในคำเหล่านั้น คำว่า "ห้า" เป็นคำกำหนดนับ.
               คำว่า "อุปาทานขันธ์" ได้แก่ พึงทำให้อรรถกถาอุปาทานขันธ์พิสดารแล้วกล่าวในที่นี้ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า "ขันธ์อันมีอุปาทานเป็นปัจจัย".
               ก็แลอรรถกถาแห่งอุปาทานขันธ์นั้น ท่านขยายไว้อย่างพิสดารในวิสุทธิมรรคนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พึงทราบโดยนัยที่ท่านทำให้พิสดารเสร็จแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นเถิด.
               คำที่จะพึงกล่าว แม้ในสักกายสมุทัยเป็นต้นนั้น ก็ได้กล่าวไว้เสร็จแล้วในที่นั้นๆ ในหนหลังเหมือนกัน.
               เมื่อวิสาขะได้ฟังการแก้สัจจะสี่นี้แล้ว ก็ทราบว่าพระเถรียินดีแล้ว เพราะว่าผู้ที่กระสันไม่ยินดีในพระพุทธศาสนานั้นไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่ถามแล้วถามเล่าได้ เหมือนเอาแหนบมาถอนผมหงอกทีละเส้นๆ เหมือนขนทรายออกจากเชิงเขาสิเนรุ.
               ก็เพราะสัจจะสี่อย่างนี้ปรากฏแล้วในพระพุทธศาสนา เหมือนพระจันทร์และพระอาทิตย์ปรากฏในโลก ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี พระมหาเถระทั้งหลายก็ดี ที่อยู่ในท่ามกลางบริษัทย่อมประกาศแต่สัจจะเท่านั้น ภิกษุสงฆ์ก็ให้พวกกุลบุตรเรียนปัญหาว่า "อะไรชื่อว่าสี่? อริยสัจจ์สี่" ตั้งแต่วันที่บวชไป.
               วิสาขะคิดว่า และนางธรรมทินนานี้ก็เป็นบัณฑิตที่ฉลาด ดำรงอยู่ในความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย ได้นำเอานัยมาแล้ว ก็สามารถกล่าวแม้ด้วยแนวที่ได้ฟังมาแล้ว ฉะนั้น ใครๆ จึงไม่สามารถจะรู้ความแทงตลอดสัจจะของนางด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ ทั้งเราก็อาจรู้ได้ด้วยการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจำแนกสัจจะ เมื่อจะพลิกกลับไปยังสัจจะทั้งสองที่กล่าวไว้ในหนหลังทำให้ลี้ลับ แล้วถามว่า "ข้าพเจ้าจะขอถามปัญหาที่มีเงื่อนงำ" จึงกล่าวคำว่า "แม่เจ้า! อุปาทานนั้นแหละ หนอแล" ดังนี้เป็นต้น.
               ในการแก้ปัญหานั้นว่า "คุณวิสาขะ! นั้นแล ไม่ใช่อุปาทานเลย".
               มีคำอธิบายว่า นั้นไม่ใช่เป็นอุปาทานเลย แต่เป็นขันธ์ ๕ ต่างหาก เพราะเป็นสภาพที่เป็นเอกเทศจากกองสังขารของอุปาทาน และอุปาทานก็ไม่ใช่นอกไปจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕. เพราะถ้าสิ่งนั้นแลพึงเป็นอุปาทานไซร้ สภาพมีรูปเป็นต้นก็พึงเป็นอุปาทานไปด้วย. ถ้าอุปาทานพึงเป็นสิ่งนอกเหนือ (ไปจากรูปเป็นต้น) ไซร้ ก็จะเป็นขันธวิมุตต์ (หลุดไปจากขันธ์) เหมือนอนุสัย เหมือนบัญญัติ และเหมือนนิพพานที่ไม่ประกอบกับจิตในสมัยอื่น หรือไม่ก็จะต้องบัญญัติขันธ์ที่ ๖ เพิ่มอีก เพราะฉะนั้น นางธรรมทินนาจึงแก้อย่างนี้.
               เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์ของนาง วิสาขะก็ถึงความแน่ใจว่า "นางนี้ได้บรรลุความแทงตลอดแล้ว" แล้วคิดว่า "ผู้ที่ไม่ใช่ขีณาสพไม่พบเห็นไม่เป็นผู้รู้จักทำให้พิสดาร เปรียบปานผู้แกว่งประทีปพันดวงให้สั่นไหว จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่มิดชิดปิดซ่อนไว้ ไตรลักษณ์นำมาถึงลึกซึ้งเห็นปานนี้ได้เลย แต่นางธรรมทินนานี้ถึงที่สุด (คือพระนิพพาน) ได้ที่พึ่งในศาสนา บรรลุปัญญาแตกฉาน ถึงความกล้าหาญ กำจัดภพเป็นขีณาสพผู้ยิ่งใหญ่ สามารถไขปัญหาที่ข้อถาม" จึงคิดว่า "บัดนี้ เราจะถามปัญหาที่แสนจะสลับซับซ้อนกะนางอีก" เมื่อจะถามปัญหานั้นจึงกล่าวคำว่า "อย่างไรเล่า แม่เจ้า" ดังนี้เป็นต้น.

               [๔๖๑] ตสฺส วิสฺสชฺชเน อสฺสุตวาติอาทิ มูลปริยาเย วิตฺถาริตเมว.
รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ "อิธ เอกจฺโจ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ. ยํ รูปํ
โส อหํ, โย อหํ ตํ รูปนฺติ รูปญฺจ อตฺตานญฺจ ๕- อทฺวยํ สมนุปสฺสติ, เสยฺยถาปิ
นาม เตลปฺปทีปสฺส ฌายโต ยา อจฺจิ โส วณฺโณ, โย วณฺโณ สา อจฺจีติ
อจฺจิญฺจ วณฺณญฺจ อทฺวยํ สมนุปสฺสติ. เอวเมว อิเธกจฺโจ รูปํ อตฺตโต ฯเปฯ
อทฺวยํ สมนุปสฺสตี"ติ ๖- เอวํ รูปํ อตฺตาติ ทิฏฺฐิวิปสฺสนาย ปสฺสติ. รูปวนฺตํ วา
อตฺตานนฺติ อรูปํ อตฺตาติ คเหตฺวา ฉายาวนฺตํ รุกฺขํ วิย ตํ อตฺตานํ รูปวนฺตํ
สมนุปสฺสติ. อตฺตนิ วา รูปนฺติ อรูปเมว อตฺตาติ คเหตฺวา ปุปฺผสฺมึ คนฺธํ วิย
อตฺตนิ รูปํ สมนุปสฺสติ. รูปสฺมึ วา อตฺตานนฺติ อรูปเมว อตฺตาติ คเหตฺวา
กรณฺฑาย มณึ วิย ตํ อตฺตานํ รูปสฺมึ สมนุปสฺสติ. เวทนํ อตฺตโตติอาทีสุปิ
เอเสว นโย.

               ในการแก้ปัญหานั้น คำเป็นต้นว่า "ผู้ไม่ได้ฟังแล้ว" ท่านได้ให้พิสดารแล้วในมูลปริยายสูตรนั่นเอง.
               คำว่า "ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน" คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมพิจารณาเห็นรูปและตนเป็นสิ่งไม่ใช่สองว่า "รูปอันใดตนก็อันนั้น ตนอันใดรูปก็อันนั้น".
               เปรียบเหมือน เมื่อตะเกียงน้ำมันกำลังลุกไหม้อยู่ เปลวอันใดสีก็อันนั้น สีอันใดเปลวก็อันนั้นแม้ฉันใด, ฉันนั้นนั่นแล บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตนแล พิจารณาเห็น...ไม่ใช่สองอย่าง" ดังนี้ ฉะนั้นจึงชื่อว่าย่อมเห็นด้วยวิปัสสนาในทิฏฐิว่า "รูปเป็นตัวตน" อย่างนี้. หรือย่อมพิจารณาเห็นว่าตัวตนมีรูป จึงถือเอาอรูปว่าเป็นตนแล้วย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป เหมือนเห็นต้นไม้มีร่ม หรือเห็นว่ารูปในตนจึงถือเอาอรูปนั่นแหละว่าเป็นตน จึงชื่อว่าย่อมพิจารณาเห็นรูปในตน เหมือนดมกลิ่นในดอกไม้ หรือเห็นว่าตนในรูปจึงถือเอาอรูปนั่นแหละว่าเป็นตน จึงชื่อว่าย่อมพิจารณาเห็นตนนั้นในรูปเหมือนเห็นแก้วมณีในขวด.
               แม้ในการพิจารณาว่าเวทนาโดยความเป็นตนเป็นอาทิ ก็มีทำนองอย่างเดียวกันนั่นเอง.

               ในคำเหล่านั้น คำว่า "ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน" ท่านกล่าวถึงรูปล้วนๆ เท่านั้นว่าเป็นตน. ท่านกล่าวถึงอรูปว่าเป็นตนในที่เจ็ดแห่งเหล่านี้ คือ ย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป, หรือรูปมีในตน, หรือตนมีในรูป, เวทนาโดยความเป็นตน, สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน ท่านกล่าวถึงรูปและอรูปที่ปนกันว่าเป็นตน. ในที่สิบสองแห่งด้วยอำนาจแห่งขันธ์ทั้งสามในจำนวนสี่ขันธ์อย่างนี้ คือ ตนมีเวทนา เวทนามีในตน ตนมีในเวทนาดังนี้.
               ในคำว่า "ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน" นั้น ท่านแสดงความเห็นว่าขาดสูญในที่ห้าแห่ง. ในแห่งที่เหลือ ท่านแสดงความเห็นว่าเที่ยง. ด้วยประการฉะนี้ ในที่นี้จึงมีภวทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีว่าเป็น) ๑๕ อย่าง วิภวทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีไม่เป็น) ๕ อย่าง.
               ในบทว่า "ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน" นี้ได้แก่ ย่อมพิจารณาว่า "ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน" ด้วยอาการทุกอย่าง คือย่อมไม่พิจารณาเห็น ๕ อย่างเหล่านี้ด้วยแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง อันได้แก่ไม่พิจารณาเห็นรูปว่าเป็นตน แต่พิจารณาเห็นว่า "ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ไม่พิจารณาเห็นตนมีรูป ฯลฯ ไม่พิจารณาเห็นตนในวิญญาณ" ดังนี้.
               เมื่อพระเถรีแก้ปัญหาข้อแรกอย่างนี้ว่า "คุณวิสาข! ความเห็นว่ากายของตน ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล" ดังนี้ ด้วยถ้อยคำมีประมาณเพียงเท่านี้อยู่.
               คำว่า "ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ การไปก็มี การมาก็มี การไปและการมาก็มี วัฏฏะ (วงจรแห่งชีวิต) ก็ย่อมหมุนไป" ก็เป็นอันว่านางได้ทำวัฏฏะให้ถึงที่สุดแล้วแสดงไว้. เมื่อแก้ปัญหาข้อหลังว่า "คุณวิสาขะ ความเห็นว่ากายตน ย่อมไม่มีด้วยอาการอย่างนี้แล" ดังนี้อยู่.
               คำว่า "ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ การไปก็ไม่มี การมาก็ไม่มี การไปและการมาก็ไม่มี วัฏฏะก็หยุดหมุน" ก็เป็นอันว่านางได้ทำวิวัฏฏะให้ถึงที่สุดแสดงไว้แล้ว.
               ปัญหาว่า "แม่เจ้า ก็แลทางประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐเป็นไฉน" พึงเป็นอันพระเถรีพึงถามกลับแล้วจึงตอบว่า "อุบาสก! คุณถามถึงทางเบื้องต่ำแล้ว ทำไมในที่นี้จึงมาถามถึงทางอยู่อีกล่ะ" ก็พระเถรีนั้นกำหนดความประสงค์ของอุบาสกนั้นได้ ก็เพราะความที่ตนฉลาดเป็นบัณฑิต.
               นางคิดว่า "อุบาสกนี้คงจะถามถึงทางขั้นต่ำด้วยอำนาจปฏิบัติแต่ในที่นี้ คงอยากจะถามถึงทางนั้นแห่งสังขตะ (ถูกปรุง) อสังขตะ(ไม่ถูกปรุง) โลกิยะ (แบบโลกๆ) โลกุตตระ (อยู่เหนือโลก, ข้ามขึ้นจากโลก) อันท่านจัดรวมเข้าไว้ (สงเคราะห์) และไม่จัดรวมเข้าไว้ (ไม่สงเคราะห์) ฉะนั้น อุบาสกถามข้อใดๆ มาก ก็แก้ข้อนั้นๆ โดยไม่ถามกลับเลย.
               ในคำเหล่านั้น คำว่า "ถูกปรุง" ความว่า ถูกคิด ถูกตรึก ถูกตรอง ถูกรวบรวมไว้ ถูกให้เกิด อันผู้เข้าถึง พึงเข้าถึง.
               ในคำว่า "ก็แลคุณวิสาขะ หนทางประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐ ท่านจัดรวมเข้าไว้ด้วยขันธ์ ๓" นี้มีคำอธิบายว่า เพราะทางมีประเทศ ขันธ์ทั้ง ๓ (กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา) ไม่มีประเทศ ฉะนั้นท่านจึงเอาทางนี้มารวมเข้าด้วยขันธ์ ๓ ที่ไม่มีประเทศ เหมือนเอากรุงมารวมเข้ากับราชย์ เพราะความที่ทางมีประเทศ.
               ในองค์มรรคเหล่านั้น องค์มรรค ๓ มีการพูดจาถูกต้องเป็นต้น เป็นศีลแท้ ฉะนั้นจึงยกเอาองค์มรรคเหล่านั้นมารวมเข้ากับกองศีล เพราะมีชาติเสมอกัน.
               ถึงแม้ในบาลี ท่านยกเอามาแสดงทำเหมือนสัตตมีวิภัติว่า "ในกองศีล" ดังนี้ก็จริง ถึงดังนั้น ก็พึงทราบใจความด้วยอำนาจตติยาวิภัติ.
               ส่วนสมาธิในองค์มรรคอีก ๓ มีความพยายามชอบเป็นต้นโดยธรรมดาของตนแล้ว ย่อมไม่สามารถจะแนบแน่นได้ เพราะเป็นภาวะที่เลิศเดี่ยวในอารมณ์ แต่เมื่อความเพียรกำลังทำหน้าที่ประคับประคองให้สำเร็จ ความระลึกก็กำลังทำหน้าที่เคล้าคลึงให้สำเร็จอยู่ สมาธิกลายเป็นธรรมชาติที่ได้อุปการะ จึงจะสามารถให้แนบแน่นได้.
               ในเรื่ององค์มรรคนั้น มีคำเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ :-
               เหมือนอย่างว่า ในสามเกลอที่ชวนกันเข้าไปสู่อุทยานด้วยตั้งใจว่า "พวกเราจะเล่นงานนักษัตรฤกษ์ (งานประจำปี) คนหนึ่งพบต้นจัมปาดอกบานดี ยกมือขึ้นไปก็ไม่อาจเก็บได้. ทีนั้น คนที่สองจึงก้มหลังให้เขา แม้เขาได้ยืนบนหลังของคนที่สองนั้น ก็ยังเด็ดไม่ได้. ทีนั้น อีกคนหนึ่ง ก็ยื่นจะงอยบ่าให้เขา. เมื่อเขาได้ยืนบนหลังของคนหนึ่งแล้วเหนี่ยวจะงอยบ่าของอีกคนหนึ่ง จึงเก็บเอาดอกไม้มาประดับตามชอบใจแล้วเล่นงานนักขัตฤกษ์ฉันใด.
               พึงเห็นคำที่นำมาเปรียบนี้ฉันนั้น คือ ธรรมทั้งสามมีความพยายามชอบเป็นต้นซึ่งเกิดร่วมกัน เหมือนสามเกลอที่เข้าสวนด้วยกัน, อารมณ์เหมือนต้นจัมปาดอกบานสะพรั่ง. สมาธิที่ไม่สามารถจะถึงฌานได้เพราะเป็นภาวะที่เด่นเดี่ยวในอารมณ์โดยลำพังตนเอง เหมือนคนที่ถึงแม้จะได้ยกมือขึ้นแล้วก็ยังไม่อาจเก็บได้. ความพยายามชอบเหมือนเกลอที่น้อมหลังให้. ความระลึกเหมือนเกลอที่ยืนให้จับจะงอยบ่า. สมาธิที่เมื่อวิริยะกำลังทำหน้าที่ประคับประคองให้สำเร็จ (และ) สติก็กำลังทำหน้าที่คลึงเคล้าให้สำเร็จอยู่อย่างนี้ ได้อุปการะแล้ว ก็ย่อมอาจบรรลุฌานได้ เพราะความเป็นภาวะที่โดดเด่นในอารมณ์ เหมือนคนนอกนี้ที่ยืนบนหลังของคนหนึ่งในสามคนนั้น และจับจะงอยบ่าของอีกคนหนึ่ง จึงสามารถเด็ดดอกไม้ได้ตามพอใจฉันใด ก็ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเอาสมาธิมารวมเข้ากับกองสมาธิตามกำเนิดของตน. ส่วนความพยายามชอบและความระลึกชอบ ท่านก็เอามารวมเข้ากับกิริยา.
               แม้ปัญญาในความเห็นชอบและความดำริชอบ ก็ไม่สามารถตัดสินอารมณ์ว่า "ไม่เที่ยง ไม่ทนทาน ไม่ใช่ตัวตน" ตามลำพังตนเองได้. แต่เมื่อวิตก อาโกฏเฏตฺวา ค่อยๆ ทุบแล้วทะยอยส่งให้ก็สามารถ อย่างไร?
               เหมือนอย่างว่า เจ้าหน้าที่การเงินเอาเหรียญกษาปณ์มาวางบนมือ แม้อยากจะสำรวจดูทุกส่วน ก็ไม่สามารถจะพลิกด้วยสายตาได้เลย ต่อเมื่อใช้ข้อนิ้วมือพลิกแล้วจึงจะสามารถสำรวจดูได้ทุกด้านฉันใด, ปัญญาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถชี้ขาดอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยงเป็นต้นตามลำพังของตนเองได้ แต่จะสามารถชี้ขาดแต่อารมณ์ที่วิตกซึ่งมีความยกขึ้นเป็นลักษณะมีความจดจ่อและจอดจับเป็นหน้าที่ เหมือนกำลังจับทุบ และกำลังจับพลิกแล้วส่งมาให้เท่านั้น.
               เพราะฉะนั้น ท่านจึงจัดเอาแต่สัมมาทิฏฐิเท่านั้นมารวมไว้กับกองปัญญา เพราะมีกำเนิดเท่ากัน แม้ในที่นี้. ส่วนสัมมาสังกัปปะก็ถูกจับมารวมเข้าเพราะการกระทำ.
               มรรคย่อมถึงซึ่งการรวมเข้ากับของทั้งสามนี้ด้วยประการฉะนี้.
               เพราะเหตุนั้น นางธรรมทินนาจึงได้กล่าวว่า "คุณวิสาขะ ก็แล ทางอันมีองค์แปดอันประเสริฐ ท่านสงเคราะห์ด้วยขันธ์ทั้ง ๓" ดังนี้.
               บัดนี้ เมื่อจะถามถึงสมาธิในมรรคที่เป็นไปเพียงขณะจิตเดียว พร้อมกับเครื่องหมายรวมทั้งเครื่องเครา จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "เป็นไฉนเล่า แม่เจ้า?"
               ในการแก้ปัญหานั้น ท่านว่า สติปัฏฐาน ๔ คือสัมมาสติ เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจยังหน้าที่สี่อย่างในมรรคขณะให้สำเร็จ. สัมมาสตินั้นกลายเป็นเครื่องหมาย เพราะอรรถว่าเป็นปัจจัยแห่งสัมมาสมาธิ. สัมมัปปธาน ๔ คือตัววิริยะ เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจการทำหน้าที่สี่อย่างให้สำเร็จ วิริยะนั้นกลายเป็นเครื่องเครา (ปริขาร) เพราะอรรถว่าแวดล้อม.
               คำว่า "ของธรรมเหล่านั้นแล" คือ ของธรรมที่ประกอบพร้อมด้วยมรรคเหล่านั้น.
               ในคำเป็นต้นว่า "การเสพคุ้น" คือ ท่านกล่าวความเสพคุ้นที่เป็นไปเพียงหนึ่งขณะจิต.
               ส่วนผู้ชอบพูดเคาะเล่น ก็พูดว่า "ชื่อว่ามรรคที่เป็นไปเพียงหนึ่งขณะจิต ไม่มี. ถ้าพึงเป็นอย่างนั้นจะมีการอบรมมรรคเสียตั้งเจ็ดปี เพราะคำว่า "เจ็ดปี" ฝ่ายพวกกิเลสเมื่อจะขาด ก็ย่อมขาดไปด้วยญาณทั้งเจ็ดโดยฉับพลัน".
               พึงพูดกะเขาว่า "นำพระสูตรมาซิ".
               แน่นอนเมื่อเขามองไม่เห็นทางอย่างอื่น ก็จะนำข้อความว่า "การเสพคุ้น การอบรม การทำให้มาก ธรรมเหล่านั้นแลอันใด" นี้แลมากล่าวว่า "ย่อมเสพคุ้นด้วยจิตดวงอื่น อบรมด้วยจิตดวงอื่น ทำให้มากก็ด้วยจิตดวงอื่น."
               ต่อจากนั้น เขาพึงถูกกล่าวว่า "ก็แล สูตรนี้มีใจความที่พึงรู้ (แนะนำ) มีใจความที่นำไปอย่างไร?"
               เขาก็จะกล่าวต่ออีกว่า "สูตรมีใจความอย่างที่นำไปนั่นแหละ" อย่างมากของเขาก็เท่านี้.
               เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะมีแต่ความเสพคุ้นเท่านั้นแม้ทั้งวัน อย่างนี้คือ จิตดวงหนึ่งเกิดเสพคุ้นอยู่แล้ว จิตอีกดวงหนึ่งเกิดเสพคุ้นอยู่แล้ว แม้อีกดวงก็เกิดเสพคุ้นอยู่แล้ว, จะมีการอบรมแต่ที่ไหน? จะมีการทำให้มากแต่ที่ไหน? หรือเมื่อดวงหนึ่งก็เกิดอบรมอยู่แล้ว ดวงอื่นอีกก็เกิดอบรมอยู่แล้ว อีกดวงหนึ่งก็เกิดอบรมอยู่แล้ว ดังนี้ แบบนี้ทั้งวันก็จะมีแต่การอบรมเท่านั้น. ความเสพคุ้นจะมีแต่ที่ไหน? การทำให้มากจะมีแต่ที่ไหน? หรือดวงหนึ่งก็เกิดทำให้มากขึ้นอยู่แล้ว ดวงอื่นอีกก็เกิดทำให้มากอยู่แล้ว อีกดวงหนึ่งก็เกิดทำให้มากขึ้นอยู่แล้ว ดังนี้ แบบนี้ทั้งวันก็จะมีแต่การทำให้มากเท่านั้น จะมีการเสพคุ้นแต่ที่ไหน? จะมีการอบรมแต่ที่ไหน?
               อีกอย่างหนึ่ง เขาอาจจะกล่าวอย่างนี้ว่า "ย่อมเสพคุ้นด้วยจิตดวงหนึ่ง ย่อมอบรมด้วยจิตสองดวง ย่อมทำให้มากด้วยจิตสามดวง หรือย่อมเสพคุ้นด้วยจิตสองดวง ย่อมอบรมด้วยจิตสามดวง ย่อมทำให้มากด้วยจิตหนึ่งดวง หรือย่อมเสพคุ้นด้วยจิตสามดวง ย่อมอบรมด้วยจิตหนึ่งดวง ย่อมทำให้มากด้วยจิตสองดวง".
               เขาพึงถูกกล่าวว่า "ท่านอย่ากล่าวเลอะเทอะว่า ‘ผมก็ได้สูตรนะ’ ธรรมดาผู้จะแก้ปัญหาต้องอยู่ในสำนักอาจารย์เล่าเรียนพุทธพจน์ให้ทราบอรรถรสแล้ว จึงค่อยพูด ก็การเสพคุ้นนี้ประกอบด้วยขณะจิตเดียว การอบรมก็ประกอบด้วยขณะจิตเดียว และการทำให้มากก็ประกอบด้วยขณะจิตเดียว ธรรมดาโลกุตตรมรรคที่ให้ถึงความสิ้นไปที่มีหลายขณะจิตไม่มี มีแต่ที่ประกอบด้วยขณะจิตเดียวเท่านั้น". พึงทำให้เขายอมรับดังที่ว่ามานี้. ถ้าเขายอมรับ ก็ยอมรับไป, ถ้าไม่ยอมรับ ก็พึงส่งไปว่า "จงไปเข้าวัดแต่เช้าแล้วดื่มข้าวต้มเสีย".
               ในคำว่า "สังขารมีกี่อย่างเล่า แม่เจ้า?" นี้ วิสาขะถามถึงอะไร.
               ถามว่า บุคคลดับสังขารเหล่าใดแล้วจึงเข้านิโรธ ข้าพเจ้าขอถามสังขารเหล่านั้น.
               เมื่อพระเถรีได้ทราบความประสงค์ของเขาด้วยประการนั้นนั่นแล บอกกายสังขารเป็นต้น ในสังขารจำนวนมากมีปุญญาภิสังขารเป็นต้นที่มีอยู่ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "คุณ สังขารเหล่านี้มีสามอย่าง".
               ในสังขารเหล่านั้น ชื่อกายสังขาร เพราะอันกายย่อมปรุง คือย่อมให้เกิด เพราะเป็นสภาพที่เกี่ยวข้องกับกาย, ชื่อวจีสังขาร เพราะถูกปรุง คือถูกให้เกิด โดยวาจา เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวาจา, ชื่อว่าจิตตสังขาร เพราะถูกปรุง คือถูกให้เกิดโดยจิต เพราะเป็นของที่เกี่ยวข้องกับจิต.
               วิสาขะย่อมถามถึงอะไรในคำว่า "เป็นไฉนเล่า แม่เจ้า" นี้ย่อมถามว่า "สังขารเหล่านี้ มันปนกันและกัน มัว ไม่แจ่ม แจ้งยาก".
               จริงอย่างนั้น ที่เรียกเจตนา ๒๐ อย่างอันเป็นกุศลอกุศลอย่างนี้ คือเจตนาในกามาวจรกุศล ๘ อย่าง เจตนาในอกุศล ๑๒ อย่างที่ยังบุคคลให้ถึงการยึด การถือ การหลุด การปล่อย ในกายทวารบ้าง ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าบ้างว่า เป็นกายสังขาร. ท่านเรียกเจตนา ๒๐ อย่างมีประการที่ได้กล่าวแล้วซึ่งยังการไหวแห่งคางให้ถึงวจีเภทในวจีทวารบ้าง วิตกวิจารบ้างว่าเป็นวจีสังขาร,
               ท่านเรียกเจตนา ๒๐ อย่างนั้น กุศลและอกุศลที่เกิดแก่ผู้ยังไม่ถึงการสั่นไหวในกายทวารและวจีทวาร แล้วนั่งคิดอยู่ในที่สงัดธรรมสองอย่าง คือสัญญาและเวทนาบ้างว่าเป็นจิตตสังขารทีเดียว ธรรมเหล่านี้ มันปนเปกัน มัว ยังไม่แจ่ม แจ้งยาก ข้าพเจ้าขอให้ทำธรรมเหล่านั้นให้แจ่งแจ้งแล้วบอก.
               ในบทว่า "ก็ทำไมเล่า แม่เจ้า" นี้ วิสาขะย่อมถามถึงใจความของบทแห่งชื่อกายสังขารเป็นต้น. ในการแก้ปัญหานั้น ผู้ศึกษาพึงทราบความหมายนี้ว่า กายสังขารชื่อว่าอาศัยกาย เพราะเกี่ยวข้องกับกาย เมื่อมีกาย ก็มีกายสังขาร เมื่อกายไม่มี กายสังขารก็มีไม่ได้ จิตตสังขารชื่อว่าอาศัยจิต เพราะเกี่ยวข้องกับจิต เมื่อมีจิต ก็มีจิตตสังขาร เมื่อจิตไม่มีจิตตสังขารก็มีไม่ได้.
               บัดนี้ เมื่อวิสาขะจะถามเพื่อความรู้ว่า "สมาบัตินี้ย่อมใช้สัญญาเวทยิตนิโรธหรือหนอ หรือไม่ใช้ หรือเป็นผู้สะสมความชำนิชำนาญในสัญญาเวทยิตนิโรธหรือหนอ หรือไม่ใช่ หรือเป็นผู้สะสมความชำนิชำนาญในสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น หรือไม่ต้องเป็นผู้สะสมความชำนิชำนาญ?" จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "แม่เจ้า ทำอย่างไรเล่าจึงจะเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติได้?"
               ในการตอบปัญหานั้น ข้อความมีว่า ท่านได้กล่าวถึงเวลาแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติด้วยบททั้ง ๒ ว่า "เราจักเข้า" หรือ "เรากำลังเข้า". ท่านกล่าวนิโรธภายในด้วยบทว่า "เข้าแล้ว". เวลาที่มีจิต ท่านก็กล่าวด้วยบทก่อนทั้งสองเหมือนกันนั้น เวลาที่ไม่มีจิต ท่านกล่าวด้วยบทหลัง.
               คำว่า "จิตก็เป็นอันอบรมไว้แล้วอย่างนั้นมาก่อนทีเดียว" ได้แก่ จิตที่มีกาลเวลาเป็นเครื่องกำหนดเป็นอันได้อบรมแล้วว่า "ตลอดเวลาเท่านี้ เราจะเป็นผู้ไม่มีจิต ในกาลที่มีระยะเวลาเป็นเครื่องกำหนดก่อนนิโรธสมาบัติ.
               คำว่า "ย่อมน้อมบุคคลนั้นได้เข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น" คือ ย่อมน้อมบุคคลที่อบรมจิตไว้แล้วอย่างนี้นั้นเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น ได้แก่เพื่อความเป็นผู้ไม่มีจิต.
               คำว่า "วจีสังขารย่อมดับไปก่อน" คือ วจีสังขารย่อมดับจากสังขารที่เหลือในฌานที่สองก่อน. คำว่า "ต่อจากนั้นกายสังขาร" คือ ต่อจากนั้นกายสังขารก็ดับไปในฌานที่สี่. คำว่า "ต่อจากนั้นจิตตสังขาร" คือ ต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับไปภายในนิโรธ.
               ท่านกล่าวเวลาภายในนิโรธด้วยสองบทว่า "เราจักออก" หรือ "เรากำลังออก" เวลาแห่งผลสมาบัติท่านกล่าวด้วยบทว่า "ออกแล้ว" เวลาเป็นผู้ไร้จิต ท่านกล่าวด้วยสองบทก่อนเหมือนกันนั้น. ด้วยบทหลัง ท่านกล่าวเวลาที่มีจิต.
               คำว่า "จิตก็เป็นอันได้อบรมมาแล้วอย่างนั้นก่อนทีเดียว" คือ จิตที่มีเวลาเป็นเครื่องกำหนดเป็นอันได้อบรมแล้วว่า ตลอดเวลาเท่านี้ เราจะเป็นผู้ไร้จิต ในกาลที่มีระยะเวลาเป็นเครื่องกำหนดไว้ก่อนเข้าถึงนิโรธสมาบัติแล้ว ต่อจากนั้นจึงจะเป็นผู้มีจิต.
               คำว่า "ย่อมน้อมบุคคลนั้นได้เข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น" คือ ย่อมน้อมบุคคลที่อบรมจิตไว้แล้วอย่างนี้นั้นเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น คือเพื่อความเป็นผู้มีจิต. เวลาแห่งการเข้านิโรธท่านกล่าวไว้ในหนหลัง ในที่นี้ ท่านกล่าวเวลาแห่งการออกจากนิโรธด้วยประการฉะนี้.
               บัดนี้เป็นวาระเพื่อจะกล่าวนิโรธกถา ฉะนั้น นิโรธกถาจึงเป็นเรื่องที่ต้องกล่าว.
               ก็แหละนิโรธกถานั้น ท่านได้ตั้งแม่บทกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคทุกแง่ทุกมุมว่า "ปัญญาที่ความชำนิชำนาญอบรมไว้ด้วยความรำงับสังขารสาม เพราะความเป็นผู้ประกอบด้วยกำลังสอง, ด้วยความประพฤติในญาณสิบหก, ด้วยความประพฤติในสมาธิเก้า ปัญญาที่ความชำนิชำนาญอบรมแล้วและญาณในการเข้าถึงนิโรธ". เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการทราบพึงถือเอาตามแบบที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นเถิด.
               ที่ชื่อว่า นิโรธนี้ได้แก่อะไรเล่า?
               ได้แก่ ความไม่เป็นไปแห่งการพิจารณาขันธ์ทั้งสี่.
               ถ้าจะมีการถามว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น เข้าสมาบัติกันเพื่ออะไร?"
               ก็ตอบว่า เข้าสมาบัติกันเพื่อสิ่งนี้ คือ "เรากลุ้มในความเป็นไปแล้วในสังขาร จะเป็นผู้ไม่มีจิตสักเจ็ดวันอยู่สบาย นิโรธนี้นั้นชื่อว่าเป็นนิพพานในปัจจุบัน".
               คำว่า "จิตสังขารย่อมเกิดขึ้นก่อน" คือ จริงอยู่ เมื่อจะออกจากนิโรธ จิตในผลสมาบัติย่อมเกิดขึ้นก่อน. ท่านหมายเอาสัญญาและเวทนาที่ประกอบด้วยผลสมาบัตินั้น จึงกล่าวว่า "จิตตสังขารย่อมเกิดขึ้นก่อน".
               คำว่า "ต่อจากนั้น กายสังขาร" คือ ต่อจากจิตตสังขารนั้นไป กายสังขารย่อมเกิดขึ้นในสมัยแห่งภวังค์.
               ถามว่า ก็ผลสมาบัติไม่ยังลมหายใจออกและลมหายใจเข้าให้ตั้งขึ้นหรือ?
               ตอบว่า ให้ตั้งขึ้น แต่ผลสมาบัติของผู้นี้ประกอบด้วยฌานที่สี่อยู่ ผลสมาบัตินั้นจึงทำให้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าตั้งขึ้นไม่ได้. หรือเพราะเหตุนี้หรือ? ผลสมาบัติจะประกอบด้วยฌานที่หนึ่ง หรือประกอบด้วยฌานที่สอง ที่สาม หรือที่สี่ก็ตามทีเถิด ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าของภิกษุผู้ออกจากสมาบัติที่สงบ ย่อมเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ (คือมีเหมือนไม่มี) หรือ? ความที่ลมหายใจออกและลมหายใจเข้านั้นเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้
               พึงทราบด้วยเรื่องพระสัญชีวเถระ :-
               ความสังเขปมีว่า เมื่อพระสัญชีวเถระออกจากสมาบัติแล้วก็เดินลุยไปบนถ่านที่เขากระจายไว้เหมือนดอกทองกวาว แม้แต่เพียงแสงในจีวรก็ไม่ลุกไหม้ แม้แต่เพียงอาการแห่งไออุ่นก็ไม่ได้มี. พวกคนก็กล่าวกันว่า นี่แหละผลของสมาบัติ. ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าของภิกษุผู้ออกจากสมาบัติที่สงบ ย่อมเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ ดังที่ว่ามานี้แล ฉะนั้นพึงทราบว่า คำนี้ท่านกล่าวด้วยสมัยแห่งภวังค์เท่านั้น.
               คำว่า "จากนั้น ก็วจีสังขาร" คือ ถัดจากกายสังขารนั้นมา วจีสังขารก็ย่อมเกิดขึ้นในเวลาแห่งการใช้ที่สำเร็จมาจากกิริยาจิตเป็นไป.
               ถามว่า ภวังค์จะให้วิตกวิจารตั้งขึ้นไม่ได้หรือ?
               ตอบว่า ให้ตั้งขึ้นได้, แต่วิตกและวิจารยังแต่ที่ประกอบด้วยภวังค์นั้น ยังแต่งวาจาไม่ได้ เพราะฉะนั้น คำนั้น ท่านกล่าวตามเวลาใช้ที่สำเร็จมาจากกิริยาจิตที่เป็นไปแล้วเท่านั้น.
               สมาบัติเป็นต้นว่า "ผัสสะเป็นของสูญ" ก็พึงกล่าวโดยผัสสะที่มีคุณและโดยอารมณ์. ผลสมาบัติชื่อว่าเป็นของสูญโดยผัสสะที่มีคุณก่อน เพราะท่านประสงค์เอาผัสสะที่เกิดพร้อมกับสุญผลสมาบัตินั้น จึงกล่าวคำว่า "ผัสสะเป็นของสูญ"
               แม้ในอนิมิตตผลสมาบัติและอัปปณิหิตผลสมาบัติก็ทำนองอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน.
               ก็โดยอารมณ์พระนิพพานที่ชื่อว่าสูญ ก็เพราะสูญจากราคะเป็นต้น. ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีเครื่องหมายแห่งราคะเป็นต้น เพราะไม่มีที่ตั้งแห่งราคะเป็นต้น จึงชื่อว่าไม่มีที่ตั้ง. ผัสสะในผลสมาบัติที่ทำพระนิพพานซึ่งเป็นของสูญให้เกิดเป็นอารมณ์ ชื่อว่าเป็นของสูญ.
               แม้ในอนิมิตตผลสมาบัติและอัปปณิหิตผลสมาบัติก็ทำนองอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน.
               ยังมีถ้อยคำที่จะต้องเพิ่มเติมอย่างอื่นอีก
               คือ แม้วิปัสสนาท่านก็เรียกว่า สุญญตา อนิมิตตา อัปปณิหิตา.
               ในข้อเหล่านั้น ภิกษุใดกำหนดสังขารโดยความไม่เที่ยงเห็นโดยความไม่เที่ยงแล้ว ย่อมออกโดยความไม่เที่ยง. วิปัสสนาที่พาไปถึงการออกของภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าอนิมิตตาวิปัสสนา.
               ภิกษุใดกำหนดสังขารโดยความเป็นทุกข์ เห็นโดยความเป็นทุกข์แล้วย่อมออกโดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนาที่พาไปถึงการออกของภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าอัปปณิหิตาวิปัสสนา.
               ภิกษุใดกำหนดสังขารโดยความเป็นของไม่ใช่ตน เห็นโดยความเป็นของไม่ใช่ตนแล้วย่อมออกโดยความเป็นของไม่ใช่ตน วิปัสสนาที่พาไปถึงการออกของภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าสุญญตาวิปัสสนา.
               มรรคในอนิมิตตวิปัสสนาของภิกษุนั้น ชื่ออนิมิตตมรรค. ผลของอนิมิตตมรรค ชื่ออนิมิตตผล เมื่อถูกต้องผัสสะที่เกิดพร้อมกับอนิมิตตผลสมาบัติก็เรียกว่าอนิมิตต์ ย่อมถูกต้อง.
               แม้ในอัปปณิหิตะและสุญญตะก็มีทำนองอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน.
               ด้วยคำที่จะต้องเพิ่มเติมที่ได้กล่าวไว้แล้ว ผัสสะก็พึงมาถึงการเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งว่า "สุญญตผัสสะก็ได้ อนิมิตตผัสสะก็ได้ หรืออัปปณิหิตผัสสะก็ได้" เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวสมาบัติเป็นต้นโดยผัสสะที่มีคุณและโดยอารมณ์. เพราะเมื่อกล่าวอย่างนี้ คำก็จะเข้ากันได้ว่า "ผัสสะสามอย่างย่อมถูกต้อง".
               พระนิพพานชื่อวิเวกในคำเป็นต้นว่า "โน้มไปในวิเวก" ที่ว่าโน้มไปในวิเวก ก็เพราะโน้มคือโอนไปในวิเวกนั้น. ที่ชื่อว่าชะโงกไปในวิเวกในคำว่า "ชะโงกไปในวิเวก" ก็เพราะมาจากที่อื่นแล้ว ก็ตั้งอยู่เป็นเหมือนกับเข้าไปหาวิเวกนั้น. ที่ชื่อว่ามีวิเวกเป็นเงื้อม ก็เพราะว่าตั้งอยู่เหมือนกับจะตกไปหาวิเวกนั้น.
               บัดนี้ เมื่อวิสาขะจะถามว่า "ข้าพเจ้าจะขอถามเวทนาที่ภิกษุดับได้แล้วจึงเข้านิโรธสมาบัติได้" จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "แม่เจ้า ก็เวทนามีเท่าไร?"
               ความสุขที่เป็นไปในทวารห้าในคำเป็นต้นว่า "หรือเป็นไปในทางกาย" ชื่อกายิกสุข, ที่เป็นไปในมโนทวาร พึงทราบว่าชื่อเจตสิกสุข.
               ในเรื่องของเวทนานั้น คำว่า "สุข" เป็นคำชี้แจงสภาพ.
               คำว่า "ความชื่นใจ" เป็นคำสำหรับใช้แทนกันแสดงถึงความเอร็ดอร่อยแห่งสุขนั้นนั่นเอง. คำว่า "ความเสวย" เป็นคำทั่วไปแก่เวทนาทุกอย่างที่แสดงความเป็นคือความเสวย.
               แม้ในบทที่เหลือก็เป็นทำนองเดียวกันนี้แหละ.
               ในคำเป็นต้นว่า "ความคงอยู่เป็นสุข ความแปรปรวนเป็นทุกข์" มีความหมายว่า ความมีแห่งสุขเวทนาชื่อว่าสุข, ความไม่มีชื่อว่าทุกข์, ความมีแห่งทุกขเวทนาชื่อว่าทุกข์, ความไม่มีชื่อว่าสุข, ความรู้อทุกขมสุขเวทนาชื่อว่าสุข, ความไม่รู้ชื่อว่าทุกข์.
               ในคำว่า "อนุสัยอะไร ย่อมนอนเนื่อง" นี้ วิสาขะย่อมถามถึงอนุสัยว่า อนุสัยเป็นไฉน ย่อมนอนเนื่องคือเป็นเหมือนกะว่าผู้นอน เพราะอรรถว่ายังละไม่ได้.
               คำว่า "คุณวิสาข กามราคานุสัยไม่ใช่จะนอนเนื่องในสุขเวทนาทั้งหมดดอก" ความว่า ราคานุสัยไม่ใช่นอนเนื่องในสุขเวทนาทั้งหมด ราคานุสัยนั้นที่ยังละไม่ได้ในสุขเวทนาทุกอย่าง ก็ย่อมไม่ปรารภสุขเวทนาทุกชนิดแล้วเกิดขึ้น.
               ในที่ทุกแห่ง ก็มีทำนองอย่างเดียวกันนี้.
               คำว่า "พึงละอะไร?" นี้เป็นคำถามถึงการละ.
               นางธรรมทินนาแก้คำถามสองข้อด้วยคำตอบนี้แหละ ในบทว่า "ย่อมละราคะด้วยฌานที่หนึ่งนั้น" นี้ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ข่มกามราคานุสัยได้แล้วย่อมเข้าถึงฌานที่หนึ่ง ทำราคานุสัยที่ฌานข่มไว้แล้ว ให้เป็นอันข่มไว้แล้วอย่างนั่นแหละแล้วเจริญวิปัสสนา จึงถอนได้เด็ดขาดด้วยอนาคามิมรรค. ราคานุสัยนั้นแม้จะถูกละได้ด้วยอนาคามิมรรคแล้ว ก็ยังชื่อว่าย่อมนอนเนื่องกับฌานที่หนึ่ง เพราะความที่มันถูกฌานที่หนึ่งนั้นข่มไว้อย่างนั้น. เพราะฉะนั้น นางธรรมทินนาจึงกล่าวว่า "ราคานุสัยย่อมไม่นอนเนื่องในสุขเวทนานั้น".
               บทว่า ตทายตนํ ตัดเป็น ตํ อายตนํ ความว่า พระอรหัตตผลอันชื่อว่าเป็นที่พึ่ง เพราะเป็นที่โล่งใจอย่างยิ่ง.
               คำว่า "อันยอดเยี่ยมด้วยประการฉะนี้" คือผู้ตั้งความปรารถนาในพระอรหัตผลที่ได้ชื่อว่า "วิโมกข์อันยอดเยี่ยมด้วยประการฉะนี้".
               คำว่า "โทมนัสย่อมเกิดขึ้นเพราะความกระหยิ่มเป็นปัจจัย" คือ ย่อมเกิดโทมนัสอันเป็นมูลให้ความปรารถนาตั้งขึ้น แต่โทมนัสอันเป็นมูลให้ความปรารถนาตั้งขึ้นนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย, แต่ท่านกล่าวว่า โทมนัสที่มีความไม่ได้เป็นมูล เมื่อจะเกิดแก่ผู้ปรารถนาแล้วไม่ได้ ก็ย่อมเกิดขึ้นเพราะความกระหยิ่มเป็นปัจจัย.
               บางท่านกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าชื่อว่าโทมนัสในความปรารถนาแล้วไม่ได้นั้นเป็นอกุศลโดยส่วนเดียวก็จริง ถึงอย่างนั้นก็พึงเสพโทมนัสนี้ไว้ โทมนัส (นี้) ควร".
               จริงอยู่ พวกโยคี (พระนักปฏิบัติ) ย่อมรับเอาข้อปฏิบัติระยะ ๓ เดือนบ้าง ระยะ ๖ เดือนบ้าง ระยะ ๙ เดือนบ้าง. ในโยคีเหล่านั้นผู้ที่รับเอาข้อปฏิบัตินั้นๆ ไปแล้ว ก็สืบต่อพยายามอยู่ด้วยคิดว่า "ภายในเวลาที่กะไว้นี่แหละเราคงจะบรรลุพระอรหัตตผล (แต่) ก็ไม่สามารถบรรลุตามเวลาที่กะไว้ จึงเกิดความเสียใจอย่างรุนแรงขึ้นมา สายน้ำตาหลั่งไหลเหมือนของพระมหาปุสสเถระชาวบ้านระเบียง.
               มีเรื่องเล่ากันมาว่า พระเถระบำเพ็ญวัตรเดินไปเดินมาตั้ง ๑๙ ปี เมื่อท่านผูกใจว่า "คราวนี้เราจะยึดพระอรหัตผลให้ได้" ว่า "คราวนี้เราจะปวารณาชนิดวิสุทธิปวารณา" แล้วกระทำสมณธรรมอยู่นั่นแหละ ๑๙ ปีผ่านไป ครั้นมาถึงวันปวารณาก็ไม่มีวันของผู้หลุดพ้น เพราะหยาดน้ำตาของพระเถระ แต่ในปีที่ ๒๐ จึงได้บรรลุพระอรหัตตผล.
               ในคำว่า "ย่อมละปฏิฆะด้วยโทมนัสนั้น" นี้มีความว่า จะเอาโทมนัสไปละปฏิฆะไม่ได้ จะเอาปฏิฆะนั่นเองไปละปฏิฆะก็ไม่ได้ หรือการเอาโทมนัสไปละโทมนัสก็ย่อมไม่ได้.
               แต่ภิกษุนี้รับเอาข้อปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อปฏิบัติมีระยะ ๓ เดือนเป็นต้น แล้วพิจารณาอย่างนี้ว่า "ภิกษุ ดูซิเธอมีฐานะเลวด้วยศีล ด้วยวิริยะ หรือด้วยปัญญา? ศีลของเธอหมดจดดีแล้วมิใช่หรือ? เธอประคองวิริยะดีแล้วมิใช่หรือ? หรือปัญญาเป็นธรรมชาติที่กล้าย่อมนำไป?"
               เมื่อท่านพิจารณาอย่างนี้ก็เห็นว่า "บัดนี้ เราจะไม่ยอมให้โทมนัสนี้เกิดขึ้นอีกจึงทำความเพียรให้หนักหน่วงภายใน ๓ เดือน ภายใน ๖ เดือนหรือไม่ก็ภายใน ๙ เดือน ก็ย่อมถอนปฏิฆะด้วยอนาคามิมรรคได้เด็ดขาด ตามแบบนี้ ชื่อว่าท่านย่อมใช้ปฏิฆะนั่นเองละปฏิฆะ (และ) ใช้โทมนัสนั่นเองละโทมนัส.
               ในคำว่า "ปฏิฆานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในโทมนัสนั้น" นั้นมีความว่า ในโทมนัสแบบนั้น ปฏิฆานุสัยย่อมไม่นอนเนื่อง ปฏิฆานุสัยก็ไม่ปรารภโทมนัสนั้นเกิดขึ้น, ปฏิฆานุสัยเป็นอันถูกละได้ในโทมนัสนั้น.
               คำว่า "ย่อมละอวิชชาได้ด้วยอรหัตตมรรคนั้น" คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ข่มอวิชชานุสัยได้แล้ว ก็เข้าสู่ฌานที่สี่ ทำอวิชชานุสัยที่ถูกฌานข่มไว้แล้วให้เป็นอันถูกข่มไว้อย่างนั้นนั่นแหละ แล้วจึงเจริญวิปัสสนา แล้วจึงจะถอนได้เด็ดขาดด้วยอรหัตมรรค. ถึงแม้อวิชชานุสัยนั้นถูกอรหัตมรรคละได้แล้วก็ตาม ก็ยังชื่อว่านอนเนื่องด้วยฌานที่สี่ เพราะความที่ถูกฌานที่สี่นั้นข่มได้แล้ว เพราะเหตุนั้น นางธรรมทินนาจึงกล่าวว่า "อวิชชานุสัยย่อมไม่นอนเนื่องในอรหัตตมรรคนั้น" ดังนี้.
               บัดนี้เมื่อจะถามคำถามที่เป็นปฏิภาค (ส่วนปรับกัน), วิสาขะจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "แม่เจ้า! ก็แห่งสุขเวทนา".
               ในการแก้ปัญหานั้น (พึงทราบข้อความดังต่อไปนี้)
               เพราะทุกข์เป็นข้าศึกของสุข และสุขเป็นข้าศึกของทุกข์ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าววิสภาคปฏิภาคไว้ในเวทนาทั้งสอง ส่วนอุเบกขาเป็นธรรมชาติที่ถูกความมืดครอบงำ ยากที่จะชี้แจง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวทั้งสภาคและปฏิภาคในที่นี้ว่า แม้อวิชชาก็เช่นนั้นแท้.
               ก็แหละ บุคคลย่อมกระทำความมืดคืออวิชชาในที่มีประมาณเท่าใด ก็ย่อมบรรเทาความมืดคืออวิชชาในที่มีประมาณเท่านั้น ฉะนั้นจึงกล่าวทั้งวิสภาคและปฏิภาคไว้ในที่นี้.
               ในคำว่า "แห่งอวิชชาแลคุณ" นี้ คือและท่านกล่าวทั้งสภาคและปฏิภาคว่า "ธรรมทั้งสองแม้นี้ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ" ท่านกล่าวทั้งสภาคและปฏิภาค เพราะอรรถว่าไม่มีอาสวะ เพราะอรรถว่าเป็นโลกุตตระ และเพราะอรรถเป็นอัพยากฤตในบทนี้ว่า "คุณแห่งวิมุตติแล"
               ในคำว่า "คุณข้ามไป" นี้มีความว่า คุณเป็นผู้ข้ามปัญหาไป
               คำว่า "คุณไม่สามารถถือเอาที่สุดแห่งปัญหาได้" ความว่า คุณไม่สามารถถือเอาประมาณแห่งการกำหนดปัญหาได้ จึงถามปฏิภาคของอัปปฏิภาคธรรม พระนิพพานนี้เป็นอัปปฏิภาคธรรม ที่ไม่มีใครสามารถเพื่อจะกระทำปฏิภาคพร้อมกับธรรมบางอย่าง คือสีเขียว สีเหลืองหรือสีแดงแล้วแสดงได้ และคุณก็ย่อมถามพระนิพพานนั้นด้วยความประสงค์นี้เสียด้วยก็ด้วยถ้อยคำเพียงเท่านี้ อุบาสกผู้จะถามปฏิภาคแห่งอัปปฏิภาคธรรมนี้ จึงเป็นอันบุคคลพึงทราบว่า ย่อมเป็นผู้เริ่มผิดในคำถามที่มีส่วนปรับแม้ทุกข้อ เหมือนภิกษุที่ได้สลากภัตในเรือนที่เจ็ด แล้วเดินเลยไปตั้งเจ็ดหลังคาเรือนมายืนที่ประตูเรือนที่แปด เริ่มผิดไปตั้งเจ็ดหลังคาเรือน ไม่รู้ (อะไรเลย) ฉันใด ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               คำว่า "หยั่งลงสู่พระนิพพาน" คือ เข้าไปภายในพระนิพพาน คือเข้าไปตามพระนิพพาน.
               คำว่า "มีพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า" คือ พระนิพพานเป็นที่มาข้างหน้า คือเป็นที่ไปข้างหน้าของเขา. อธิบายว่า เขาไม่ไปที่อื่นจากพระนิพพานนั้น. ชื่อว่ามีพระนิพพานเป็นที่สุด เพราะพระนิพพานเป็นที่สุดของเขา.
               ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความเป็นบัณฑิต ชื่อว่า "บัณฑิต" หมายความว่า ผู้ฉลาดในธาตุ ฉลาดในอายตนะ ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในฐานะและอฐานะ
               คำว่า "ผู้มีปัญญายิ่งใหญ่" ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาที่สามารถกำหนดถือเอาอรรถอันยิ่งใหญ่ ธรรมอันยิ่งใหญ่ นิรุกติอันยิ่งใหญ่ ปฏิภาณอันยิ่งใหญ่.
               คำว่า "อย่างที่ธรรมทินนานั้น" คือ แม้เราเองก็จะพึงพยากรณ์อย่างที่ภิกษุณีธรรมทินนาพยากรณ์แล้วเหมือนกันนั่นเอง.
               ก็แล เพราะพระดำรัสเพียงเท่านี้ พระสูตรนี้ก็กลายเป็นภาษิตของพระชินเจ้าไป. ไม่ใช่ภาษิตของสาวกเหมือนอย่างว่า หนังสือที่ราชเลขานุการเขียนแล้ว ยังไม่จัดเป็นพระราชสาส์น ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ประทับพระราชลัญชกร พอประทับพระราชลัญชกรของในหลวงแล้ว หนังสือย่อมชื่อว่าเป็นพระราชสาส์น ฉันใด,
               พระสูตรนี้ได้กลายเป็นภาษิตของพระชินเจ้า ด้วยการจรดแล้วตรัส เพราะความที่พระตราคือพระดำรัสของพระชินเจ้าดวงนี้ ได้ประทับแล้วว่า "แม้เราก็พึงพยากรณ์อย่างนั้นเหมือนกัน แม้ฉะนั้นเหมือนกัน.
               คำที่เหลือทุกแห่งตื้นแล้วแล ด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาจุลลเวทัลลสูตรที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค จูฬเวทัลลสูตร การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ จบ.
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 493อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 505อ่านอรรถกถา 12 / 514อ่านอรรถกถา 12 / 557
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=9420&Z=9601
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=8&A=6750
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=8&A=6750
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :