บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] หน้าต่างที่ ๖ / ๖. อริยสัจ ๔ รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ เว้นตัณหาว่า นี้ทุกข์. รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งตัณหาที่มีอยู่ก่อน อันทำทุกข์นั้นนั่นแล ให้เกิดให้ปรากฏขึ้น นี้ทุกขสมุทัย. รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งความดับคือ หยุดทุกข์และทุกขสมุทัยทั้งสองว่า นี้ทุกขนิโรธ. รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งอริยมรรคอันเป็นเหตุกำหนดรู้ทุกข์ เป็นเหตุละสมุทัย เป็นเหตุทำให้แจ้งนิโรธว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. กถาว่าด้วยสัจจะที่เหลือเว้นกถาว่าด้วยบทภาชนะ แจกบทแห่งทุกข์ มีชาติเป็นต้น ท่าน อธิบายบทภาชนะ ชาติ คำว่า กตมา จ ภิกฺขเว ชาติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติเป็นอย่างไร ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติอันใดที่เรากล่าวอย่างนี้ว่า แม้ชาติก็เป็นทุกข์ ชาติอันนั้นเป็นอย่างไร. พึงทราบอรรถในปุจฉาทั้งปวงอย่างนี้. คำว่า ของสัตว์เหล่านั้นๆ อันใดนี้ เป็นคำกำหนดรวมสัตว์ไว้ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนดว่า ของเหล่าสัตว์ชื่อนี้. แม้คำว่าในหมู่สัตว์นั้นๆ นี้ เป็นคำกำหนดรวมหมู่สัตว์ไว้ทั้งหมด. ความเกิดชื่อว่าชาติ. คำว่า ชาติ นี้เป็นชื่อของขันธ์ที่เกิดจำเพาะทีแรก พร้อมด้วยความเปลี่ยนแปลง. คำว่า สัญชาติ นี้เป็นไวพจน์ (แทน) ของชาตินั่นเอง แต่ ส่วนบาลี ขนฺธานํ ปาตุภาโว ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนี้ กล่าวโดยปรมัตถ์. ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนั่นแล ที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่และขันธ์ห้า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มีขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง ไม่ใช่ความปรากฏแห่งบุคคล. แต่เมื่อความปรากฏแห่งขันธ์นั้นมีอยู่. ก็สมมติเรียกกันว่า บุคคลปรากฏดังนี้. คำว่า อายตนานํ ปฏิลาโภ ความได้อายตนะทั้งหลาย ความว่า อายตนะทั้งหลายปรากฏอยู่นั่นแล เป็นอันชื่อว่าได้มา นั้นชื่อว่าความได้มาที่กล่าวได้ว่าความปรากฏแห่งอายตนะเหล่านั้น. ชรา จริงอยู่ เวลาเป็นหนุ่มสาว ฟันก็เรียบขาว. ครั้นหง่อมเข้า ฟันเหล่านั้นก็เปลี่ยนสีไปโดยลำดับ หลุดตกไปในที่นั้นๆ. อนึ่ง ฟันหัก หมายถึงฟันที่หลุดร่วง และที่ยังอยู่ ชื่อว่า ขณฺฑิตา. ภาวะแห่งฟันที่หักเรียกว่า ขณฺฑิจฺจํ ความที่ฟันหัก. ผมและขนคร่ำคร่าไปโดยลำดับ ชื่อว่าผมหงอก. ผมหงอกเกิดพร้อมแล้วแก่บุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่ามีผมหงอก. ภาวะแห่งบุคคลผู้มีผมหงอก ชื่อว่า ปาลิจฺจํ ความที่ผมหงอก. เกลียวที่หนังของบุคคลนั้น มีอยู่ เพราะมีเนื้อและเลือดแห้งไปด้วยถูกลม คือชราประหาร เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่ามีหนังเป็นเกลียว (เหี่ยว). ภาวะแห่งบุคคลผู้มีหนังเป็นเกลียวนั้น ชื่อว่า วลิตฺตจตา ความที่หนังเหี่ยว. ด้วยถ้อยคำมีประมาณเพียงเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงชราที่เปิดเผย อันปรากฏชัด โดยแสดงความเปลี่ยนแปลงในฟัน ผม ขน หนัง. ทางไปของลมหรือไฟ จะปรากฏได้ ก็เพราะลมพัดถูกหญ้า หรือต้นไม้เป็นต้นหักระเนระนาดหรือไฟไหม้ แต่ทางไปของลมและไฟนั้นก็หาปรากฏไม่ฉันใด ทางไปแห่งชราก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะปรากฏได้ก็โดยภาวะมีฟันหักเป็นต้นแห่งอาการ ๓๒ มีฟันเป็นต้น แม้บุคคลลืมตาดู ก็จับไม่ได้ ความคร่ำคร่าแห่งอาการมีฟันหักเป็นต้น หาใช่ตัวชราไม่ เพราะชราจะพึงรู้ทางจักษุมิได้. แต่เพราะเมื่อถึงชรา อายุเสื่อมไป ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยผลใกล้เคียงว่า ความเสื่อมไปแห่งอายุ เรียกว่า ชรา. อนึ่ง เพราะเวลาเป็นหนุ่มสาว อินทรีย์ทั้งหลายมีจักษุเป็นต้นแจ่มใสดี สามารถรับอารมณ์ของคน แม้ที่ละเอียดได้ให้สะดวกทีเดียว เมื่อถึงชรา ก็แก่งอม ขุ่นมัว ไม่ มรณะ ศัพท์ว่า ยํ หมายถึง มรณะ เป็นศัพท์แสดง นุปํสกลิงค์ (ไม่ใช่เพศชาย เพศหญิง ทางไวยากรณ์). ในคำว่า ยํ นั้น พึงประกอบความดังนี้ว่า มรณะ ท่านเรียกว่า จุติ เรียกว่า จวนตา. ในศัพท์เหล่านั้น ศัพท์ว่า จุติ แสดงถึงสภาพที่เป็นเอง. ศัพท์ว่า จวนตา แสดงถึงภาวะ คืออาการ. เมื่อบุคคลถึงมรณะแล้ว ขันธ์ทั้งหลายย่อมแตก และหายไป แลไม่เห็น เพราะฉะนั้น มรณะนั้นจึงเรียกว่า ความแตก ความหายไป ความมอดม้วย. บทว่า มัจจุมรณะ คือ มัจจุมรณะ มิใช่ ขณิกมรณะ (ตายชั่วขณะ). การทำกาละ คือ ตาย ชื่อว่า กาลกิริยา. แม้ทั้งหมดนี้กล่าวโดยสมมติทั้งนั้น. ส่วนบาลีว่า ขนฺธานํ เภโท นี้ เป็นการกล่าวโดยปรมัตถ์. ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลายที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่และขันธ์ห้า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มีขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง มิใช่ความแตกแห่งบุคคล. แต่เมื่อความประชุมพร้อมแห่งขันธ์มีอยู่ ก็สมมติเรียกว่า บุคคลตาย. การทอดทิ้งอัตตภาพ ชื่อว่าการทอดทิ้งซากศพ. จริงอยู่ เมื่อบุคคลถึงความตาย อัตตภาพก็ตกเป็นเหมือนท่อนไม้ ไร้ประโยชน์ฉะนั้น เพราะฉะนั้น มรณะนั้น ท่านจึงเรียกว่า การทอดทิ้งซากศพ. ส่วนความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ โดยอาการทั้งปวง ก็คือมรณะ. มรณะนั้นนั่นแหละ เรียกว่าสมมติมรณะ. ชาวโลกถือเอาความขาดแห่งชีวิตินทรีย์เท่านั้น จึงพูดว่า ติสสะตาย ผุส โสกะ บทว่า ทุกฺขธมฺเมน อันทุกขธรรม ความว่า อันเหตุแห่งทุกข์ มีการฆ่าและจองจำเป็นต้น. บทว่า ผุฎฺฐสฺส ถูกต้องแล้ว ได้แก่ท่วมทับ ครอบงำแล้ว. คำว่า โสกะ ได้แก่ ความโศกอันมีความแห้งใจเป็นลักษณะ ย่อมเกิดแก่บุคคลในเมื่อถูกความวิบัติ มีความวิบัติจากญาติเป็นต้น หรือเหตุแห่งทุกข์ มีการฆ่า การจองจำเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ครอบงำแล้ว. ความเป็นผู้เศร้าโศก ได้แก่ ความเศร้าโศก. ก็ความเศร้าโศกนั้นเกิดขึ้นทำภายในให้แห้ง ให้แห้งผาก เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าความเศร้าใจ ความแห้งใจภายใน ดังนี้. ปริเทวะ ทุกขโทมนัส คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วในทุกข์นั่นแล. อุปายาส การไม่สมความปรารถนาเป็นทุกข์ สองบทว่า อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ ความปรารถนาย่อมเกิด คือตัณหาย่อมเกิด. คำว่า อโห วต ได้แก่ ความปรารถนา. บทว่า น โข ปเนตํ อิจฺฉาย ข้อนั้น ไม่พึงได้ด้วยความปรารถนาแล ความว่า ข้อนั้น คือความไม่ต้องมาเกิด เว้นมรรคภาวนาเสีย บุคคลไม่พึงบรรลุได้ด้วยปรารถนา. คำว่า อิทํปิ แม้นี้ คือแม้อันนี้. ปิอักษร ในคำว่า อิทมฺปิ หมายถึงบทที่เหลือข้างหน้า. บทว่า ยมฺปิจฺฉํ ปรารถนาสิ่งใด ความว่า บุคคลปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงได้ ย่อมไม่ได้ เพราะธรรมใด ความปรารถนาในสิ่งที่ไม่พึงได้นั้น ก็เป็นทุกข์. ทุกๆ บทก็นัยนี้เหมือนกัน. ในขันธนิทเทสมีวินิจฉัยดังนี้. รูปนั้นด้วย อุปาทานขันธ์ด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ารูปูปาทานขันธ์. ทุกๆ ขันธ์ก็พึงทราบอย่างนี้. สมุทัยอริยสัจ คำว่า โปโนพฺภวิกา มีวิเคราะห์ว่า การทำภพใหม่ ชื่อว่าภพใหม่ ภพใหม่นั้นเป็นปกติแห่งตัณหานั้น เหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่า โปโนพฺภวิกา มีความเกิดอีกเป็นปกติ. คำว่า นนฺทิราคสหคตา ได้แก่ ตัณหาที่เกิดร่วมด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน. ท่านอธิบายว่า โดยอรรถ ตัณหานั้นก็เป็นอันเดียวกันกับนันทิราคะนั่นเอง. ในคำเหล่านั้น คำว่า ตตฺรตตฺราภินนฺทินี เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ความว่า อัตตภาพเกิดจำเพาะในที่ใดๆ ตัณหาก็เพลิดเพลินในที่นั้นๆ. อีกนัยหนึ่ง ตัณหามักเพลิดเพลินในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ชื่อว่าในที่นั้นๆ. อธิบายว่า เพลิดเพลินในรูป เพลิดเพลินในเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์. ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ นั้นมีความว่า ถ้ามีคำถามว่า ตัณหานั้นเป็นไฉน. ความอยากในกาม ชื่อว่า กามตัณหา. คำว่า กามตัณหา นั้นเป็นชื่อของความกำหนัดเกี่ยวด้วยกามคุณ ๕. ความอยากในภพ ชื่อว่า ภวตัณหา. คำว่า ภวตัณหา นี้เป็นชื่อของความ ความอยากในวิภพ ชื่อว่า วิภวตัณหา. คำว่า วิภวตัณหา นี้เป็นชื่อของความกำหนัดที่เกิดพร้อมด้วยอุจเฉททิฏฐิ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงวัตถุที่ตั้ง ที่เกิดแห่งตัณหานั้นโดยพิสดาร จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา ก็ตัณหานี้นั้นแล ดังนี้เป็นต้น. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า เกิด. คำว่า นิวีสติ ได้แก่ ตั้งอยู่โดยความเป็นไปบ่อยๆ. คำว่า ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ความว่า เป็นสภาวะที่รักและสภาวะที่ชอบใจในโลก. ในคำว่า จกฺขุํ โลเก เป็นต้น มีอธิบายดังนี้ จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายถือมั่นในจักษุเป็นต้นในโลกโดยความเป็นของๆ เรา ตั้งมั่นอยู่ในสมบัติ ย่อมสำคัญจักษุ (ตา) ของตน อันมีประสาททั้ง ๕ แจ่มใส เหมือน เมื่อสัตว์เหล่านั้นสำคัญอยู่อย่างนี้ จักษุเป็นต้นเหล่านั้น ก็ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัณหาของสัตว์เหล่านั้นที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดในจักษุเป็นต้นนั้น และตัณหาที่เกิดแล้ว ก็ย่อมตั้งอยู่โดยความเป็นไปบ่อยๆ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า จักษุเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ก็เกิดที่จักษุนั้น ดังนี้เป็นต้น. คำว่า ตตฺถ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ ความว่า ตัณหานั้นเมื่อเกิดในกาลใด ก็ย่อมเกิดที่จักษุนี้ในกาลนั้น. ทุกๆ บทก็นัยนี้. ทุกขนิโรธอริยสัจ อนึ่ง ตัณหามาถึงพระนิพพาน ย่อมละ สละคืน ปล่อย ไม่ติด เพราะฉะนั้น พระนิพพาน จึงตรัสเรียกว่า เป็นที่ละ สละ ปล่อย ไม่ติด. แท้จริง พระนิพพานก็มีอย่างเดียวเท่านั้น. แต่ชื่อของพระนิพพานนั้นมีมาก โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อชื่อของสังขตธรรมทั้งหมด. คืออย่างไร คือธรรมเป็นที่คายไม่เหลือ เป็นที่ดับไม่เหลือ เป็นที่ละ เป็นที่สละ เป็นที่พ้น เป็นที่ไม่ติด เป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่ไม่เกิด เป็นที่หยุด ไม่มีนิมิต ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อาศัย ไม่มีปฏิสนธิ ไม่เป็นไป ไม่ไป ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่โศก ไม่คร่ำครวญ ไม่คับแค้น ไม่เศร้าหมอง ดังนี้เป็นต้น. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาทั้งปวงที่มรรคตัดได้แล้ว ถึงความหยุด (ไม่เป็นไป) เพราะมาถึงพระนิพพาน ในวัตถุที่พระองค์ทรงแสดงว่า ตัณหาเกิดนั่นแหละ จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา ก็ตัณหานี้นั้นดังนี้ เป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังต่อไปนี้ เหมือนอย่างว่า บุรุษพบเถาน้ำเต้าขมที่เกิดในนาแล้ว จับตั้งแต่ยอด ค้นหาโคนพบแล้ว ตัดออกเสีย เถานั้นก็เหี่ยวแห้งโดยลำดับ ถึงความไม่ปรากฏ ที่นั้น เขาก็เรียกกันว่า เถาน้ำเต้าขมในนานั้น ดับแล้ว ละแล้ว ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนเถาน้ำเต้าขมในนา ตัณหานั้นตัดรากได้ด้วยอรหัตมรรค ถึงความหยุด (งอก) เพราะมาถึงพระนิพพาน อนึ่ง ตัณหาอันถึงความหยุดอย่างนั้นแล้ว ย่อมไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น เหมือนเถาน้ำเต้าขมไม่ปรากฏในนาฉะนั้น. อนึ่ง เปรียบเหมือนพวกมนุษย์นำโจรมาจากดง พึงฆ่าเสียที่ประตูด้านทิศใต้ แห่งพระนคร แต่นั้น คนทั้งหลายจะพึงพูดกันว่าพวกโจรในดงตายแล้ว หรือถูกฆ่าตายแล้วดังนี้ ฉันใด ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนโจรในดง ตัณหานั้น ชื่อว่าดับไปในพระนิพพานนั่นเอง เพราะมาถึงพระนิพพานแล้วจึงดับไป เหมือนโจรถูกฆ่าที่ประตูทิศใต้ฉะนั้น อนึ่ง ตัณหาอันดับแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น เหมือนโจรไม่ปรากฏในดงฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความดับแห่งตัณหา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คำว่า อริโย ความว่า มรรคชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย อันมรรคนั้นๆ พึงฆ่าและเพราะทำความเป็นพระอริยะ. ทรงแสดงกัมมัฏฐานว่าด้วยสัจจะ ๔ ด้วยคำว่า รู้ในทุกข์ เป็นต้น. ในสัจจะ ๔ นั้น ๒ สัจจะต้น (ทุกข สมุทัย) เป็นวัฏฏสัจจะ, ๒ สัจจะหลัง (นิโรธ มรรค) เป็นวิวัฏฏสัจจะ. ในวัฏฏสัจจะและวิวัฏฏสัจจะเหล่านั้น ความตั้งมั่นแห่งกัมมัฏฐานของภิกษุ ย่อมมีในวัฏฏสัจจะ ไม่มีในวิวัฏฏสัจจะ. ก็พระโยคาวจรกำหนดสัจจะ ๒ เบื้องต้นในสำนักอาจารย์ โดยย่ออย่างนี้ว่า ปัญจขันธ์เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสมุทัย และพิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า ปัญจขันธ์เป็นไฉน คือรูปขันธ์ดังนี้แล้ว ทบทวน (ท่องบ่น) ชื่อว่าทำกรรมในสัจจะ ๒ เหล่านั้น. ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ พระโยคาวจรย่อมทำกรรมด้วยการฟังอย่างเดียว อย่างนี้ว่า นิโรธสัจน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ, มรรคสัจน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ. พระโยคาวจรนั้น เมื่อทำอยู่อย่างนี้ ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ ด้วยปฏิเวธญาณอันเดียว ย่อมตรัสรู้ด้วยอภิสมยญาณอันเดียว คือแทงตลอดทุกขสัจจะด้วยปฏิเวธ คือ ในเบื้องต้น พระโยคาวจรนั้นมีปฏิเวธญาณในสัจจะ ๒ เบื้องต้นด้วยการกำหนด การสอบถาม การฟัง การทรงจำและการพิจารณา. ส่วนในสัจจะ ๒ เบื้องปลาย พระโยคาวจรมีปฏิเวธญาณ ด้วยอำนาจการฟังอย่างเดียว ในภายหลังจึงมีปฏิเวธญาณในสัจจะ ๓ โดยกิจ มีปฏิเวธญาณในนิโรธสัจโดยอารมณ์. ส่วนปัจจเวกขณญาณมีแก่พระโยคาวจรผู้บรรลุสัจจะแล้ว. และพระ อนึ่ง เมื่อภิกษุนี้กำหนดรู้ในเบื้องต้น ความคำนึง รวบรวมใจ ใส่ใจ และ ในสัจจะเหล่านั้น สัจจะ ๒ เบื้องต้น ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก, สัจจะ ๒ เบื้องหลัง ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง. ความจริง ทุกขสัจปรากฏตั้งแต่เกิดมา ถึงกับกล่าวกันว่าทุกข์หนอ ในเวลาที่ถูกตอและหนามตำเป็นต้น. แม้สมุทัยสัจก็ปรากฏตั้งแต่เกิดมา ด้วย ส่วนความพยายามเพื่อเห็นสัจจะ ๒ นอกนี้ ก็เป็นเหมือนเหยียดมือจับภวัคค พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี้ ความรู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น ทรงหมายถึงความเกิดญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น ในสัจจะ ๔ ที่ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก และที่ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง ด้วยอำนาจการกำหนดเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. ส่วนในขณะแทงตลอด ญาณ (ปฏิเวธญาณ) นั้น ก็มีหนึ่งเท่านั้น. สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ที่ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจากทุจริตมีมุสาวาทเป็นต้น ต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรคเจตนางดเว้นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นมิจฉาอาชีวะที่เกิดแล้วในฐานะเจ็ด (กายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔) เหล่านี้แหละ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ. สัมมาวายามะ คำว่า ฉนฺทํ ชเนติ ย่อมยังฉันทะให้เกิด คือให้เกิดความพอใจในความเพียรที่ให้สำเร็จข้อปฏิบัติอันไม่ให้เกิดบาปอกุศลเหล่านั้น. คำว่า วายมติ พยายาม คือ ทำความพยายาม. คำว่า วิริยํ อารภติ ปรารภความเพียร คือ ดำเนินความเพียร. คำว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ประคองจิต คือ ทำการประคองจิตด้วยความเพียร. คำว่า ปทหติ ตั้งไว้ คือดำเนินการตั้งความเพียรว่า จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามทีเถิด ดังนี้. คำว่า อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว คือที่เคยเกิดแล้วแก่ตน โดยการกำเริบขึ้น ย่อมให้เกิดฉันทะ เพื่อละบาปอกุศลเหล่านั้นว่า บัดนี้ เราจักไม่ให้บาปอกุศลเช่นนั้นเกิดขึ้นละ. คำว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ กุศลที่ยังไม่เกิด คือกุศลธรรมมีปฐมฌานเป็นต้น ที่ตนยังไม่ได้. คำว่า อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว คือกุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแหละที่ตนได้แล้ว. คำว่า ฐิติยา เพื่อตั้งมั่น คือเพื่อตั้งอยู่โดยการเกิดต่อเนื่องกันบ่อยๆ. คำว่า อสมฺโมสาย เพื่อไม่ขาดสาย คือเพื่อไม่ให้สูญเสีย. คำว่า ภิยฺโยภาวาย เพื่อมียิ่งๆ คือเพื่อเจริญยิ่งขึ้นไป. คำว่า เวปุลฺลาย คือ เพื่อความไพบูลย์. คำว่า ภาวนาย ปาริปูริยา คือ เพื่อความมีบริบูรณ์. แม้สัมมาวายามะนี้ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะจิตที่คิดไม่ให้เกิดอกุศลที่ยังไม่เกิดเป็นต้นต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรค วิริยะฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้เหมือนกัน นี้ชื่อว่าสัมมาวายามะ. สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จริงอยู่ มรรคที่ ๑ แห่งมรรคขณะหนึ่ง มีปฐมฌาน มรรคทั้ง ๔ ว่าโดยฌานเหมือนกันก็มี ต่างกันก็มี เหมือนกันบางแห่งก็มี ด้วยประการฉะนี้. นี้เป็นความแผกกันแห่งมรรคนั้น โดยกำหนดโดยฌานที่เป็นบาท. พึงทราบอธิบายโดยกำหนดด้วยฌานเป็นบาทก่อน มรรคที่เกิดแก่พระโยคา ถามว่า ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นนี้เป็นอย่างไร. ตอบว่า ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นแม้นี้ พระโยคาวจรนั้นออกจากฌานใดแล้ว ได้โสดา แต่พระเถระบางเหล่ากล่าวว่า กำหนดขันธ์เป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนา. บางเหล่าก็ว่ากำหนดอัธยาศัยบุคคล. บางเหล่าก็ว่ากำหนดวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี. วินิจฉัยวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ ในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คัมภีร์วิสุทธิมรรค. คำว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ ความว่า ธรรมนี้ เบื้องต้นเป็นโลกิยะ เบื้องหลังเรียกว่าโลกุตตระ สัมมาสมาธิ. คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัจจะ ๔ ของตน ของคนอื่น หรือเพราะกำหนดสัจจะ ๔ ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลอย่างนี้อยู่. ส่วนความเกิดและความเสื่อมในสัจจบรรพนี้ พึงทราบโดยความเกิดและความหมดไปแห่งสัจจะ ๔ ตามเป็นจริง. คำอื่นนอกจากนี้ มีนัยดังกล่าวมาแล้ว. สติกำหนดสัจจะ ๔ เป็นอริยสัจ คำที่เหลือก็เหมือนกันแล. สรุปความ บรรดากัมมัฏฐาน ๒๑ นั้น กัมมัฏฐาน ๑๑ คือ อานาปาน ๑ ทวัตดึงสาการ ๑ สีวถิกา ๙ เป็นอัปปนากัมมัฏฐาน. แต่พระมหาสิวเถระผู้รจนาคัมภีร์ทีฆนิกาย กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสีวถิกา ๙ โดยอาทีนวานุปัสสนา. เพราะฉะนั้น ตามมติของท่าน อานา ถามว่า ความตั้งมั่นเกิดในกัมมัฏฐานนั้นทั้งหมดหรือไม่เกิด ตอบว่า ไม่ใช่ไม่เกิด ความตั้งมั่นไม่เกิดในอิริยาบถ สัมปชัญญะ นีวรณ์และโพชฌงค์ เกิดในกัมมัฏฐานที่เหลือ. ส่วนพระมหาสิวเถระกล่าวว่า ความตั้งมั่นย่อมเกิดในกัมมัฏฐานแม้เหล่านั้น (ทั้งหมด) เพราะพระโยคาวจรนี้ย่อมกำหนดอย่างนี้ว่า อิริยาบถ ๔ มีแก่เราหรือไม่หนอ สัมปชัญญะ ๔ มีแก่เราหรือไม่หนอ นีวรณ์ ๕ มีแก่เราหรือไม่หนอ โพช อานิสงส์ คำว่า เอวํ ภาเวยฺย ความว่า พึงเจริญตามลำดับภาวนาที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น. คำว่า ปาฏิกงฺขํ ความว่า พึงหวังได้ พึงปรารถนาได้ เป็นแน่แท้. คำว่า อญฺญา หมายถึง พระอรหัต. คำว่า สติ วา อุปาทิเสเส ความว่า เมื่ออุปาทิเสสวิบากขันธ์ที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้นเข้าไปยึดไว้เหลืออยู่ ยังไม่สิ้นไป. คำว่า อนาคามิตา แปลว่า ความเป็นพระอนาคามี. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่คำสั่งสอนเป็นธรรมนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์โดย ๗ ปี อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงเวลา (ปฏิบัติ) ที่น้อยไปกว่านั้นอีก จึงตรัสว่า ติฎฺฐนฺตุ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปี จงยกไว้ดังนี้เป็นต้น. ก็คำนั้นแม้ทั้งหมดตรัสโดยเวไนย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า คำสั่งสอนของเรานำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงยังเทศนาที่ทรงแสดงด้วยธรรมอันเป็นยอด คือพระอรหัตให้จบลงในฐานะ ๒๑ ประการ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางดำเนินอันเอก เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน นี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ด้วยประการฉะนี้ คำอันใดอันเรากล่าวแล้วอย่างนี้ คำนั้นเราอาศัยทางอันเอกนี้กล่าวแล้ว. คำที่เหลืออรรถตื้นทั้งนั้นแล. ในเวลาจบเทศนา ภิกษุสามหมื่นรูปดำรงอยู่ในพระอรหัตแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร จบ. |