ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕]อ่านอรรถกถา 10 / 1อ่านอรรถกถา 10 / 57อรรถกถา เล่มที่ 10 ข้อ 67อ่านอรรถกถา 10 / 163อ่านอรรถกถา 10 / 301
อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค
มหาปรินิพพานสูตร

               อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร               
               มหาปรินิพพานสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
               พรรณนาความตามลำดับบทในมหาปรินิพพานสูตรนั้น ดังต่อไปนี้.
               บทว่า คิชฺฌกูเฏ ความว่า บนภูเขาชื่อว่า คิชฌกูฏ เพราะมีฝูงแร้งอยู่บนยอด หรือมียอดคล้ายแร้ง.
               บทว่า อภิยาตุกาโม ได้แก่มีพระประสงค์จะเสด็จยาตราทัพยึดแคว้นวัชชี.
               บทว่า วชฺชี ได้แก่ เหล่าเจ้าวัชชี.
               บทว่า เอวํ มหิทฺธิเก ได้แก่ ประกอบด้วยราชฤทธิ์ใหญ่อย่างนี้. พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถึงภาวะที่เจ้าวัชชีเหล่านั้นสามัคคีกัน ด้วยพระดำรัสนี้.
               บทว่า เอวํ มหานุภาเว ได้แก่ ประกอบด้วยอานุภาพมากอย่างนี้.
               พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถึงภาวะที่เจ้าวัชชีเหล่านั้น ทรงศึกษาหัตถิศิลปะเป็นต้น ที่ท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า พวกเจ้าลิจฉวีราชกุมารเหล่านี้ศึกษาฝึกฝนชำนาญดีแล้วหนอ ที่สามารถยิงลูกศร เข้าทางช่องดาลถี่ๆ ได้ ลูกศรที่ติดภู่ทั้งใหญ่ทั้งเล็กไม่ผิดพลาดเป้าเลย.
____________________________
๑- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๑๗๓๗

               บทว่า อุจฺเฉชฺชามิ แปลว่า จักตัดขาด.
               บทว่า วินาเสสฺสามิ แปลว่า จักทำให้ถึงความไม่ปรากฏ.
               ในคำว่า อนยพฺยสนํ นี้ ความเจริญหามิได้ เหตุนั้นจึงชื่อว่าอนยะ. คำว่า อนยะ นี้ เป็นชื่อของความไม่เจริญ. ความไม่เจริญนั้นย่อมขจัดทิ้งซึ่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข เหตุนั้นจึงชื่อว่า พยสนะ. คำว่า พยสนะ นี้ เป็นชื่อของความเสื่อมมีเสื่อมญาติเป็นต้น.
               บทว่า อาปาเทสฺสามิ แปลว่า จักให้ถึง.
               ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นตรัสเฉพาะการยุทธ์อย่างนี้ ในอิริยาบถมียืนและนั่งเป็นต้น จึงสั่งกองทัพอย่างนี้ว่า พวกเจ้าจงเตรียมยาตราทัพ.
               เพราะเหตุไร.
               ได้ยินว่า ตรงตำบลปัฏฏนคามตำบลหนึ่งแห่งแม่น้ำคงคา พระเจ้าอชาตศัตรูทรงมีอำนาจกึ่งโยชน์ พวกเจ้าลิจฉวีมีอำนาจกึ่งโยชน์. อธิบายว่า ก็ในตำบลนี้เป็นสถานที่ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครอง. อีกอย่างหนึ่ง ในที่นั้น สิ่งที่มีค่ามากตกจากเชิงเขา. เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบดังนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า ไปวันนี้ ไปพรุ่งนี้ จึงตระเตรียมทันที เหล่าเจ้าลิจฉวีทรงสมัครสมานกันอยู่ จึงพากันไปก่อน ยึดของมีค่ามากเอาไว้หมด. พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จไปทีหลัง ทรงทราบเรื่องนั้น แล้วทรงกริ้ว เสด็จไป. เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นก็กระทำอย่างนั้นแหละแม้ในปีต่อมา. ดังนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงอาฆาตอย่างรุนแรง ได้ทรงกระทำอย่างนั้นในคราวนั้น.
               แต่นั้นทรงดำริว่า ชื่อว่าการต่อยุทธ์กับคณะเจ้าเป็นเรื่องหนัก ชื่อว่าการต่อตีที่ไร้ประโยชน์แม้ครั้งเดียวก็มีไม่ได้ แต่เมื่อปรึกษากับบัณฑิตสักคนหนึ่งย่อมไม่พลาด ก็บัณฑิตเช่นพระศาสดา ไม่มี ทั้งพระศาสดาก็ประทับอยู่ในวิหารใกล้ๆ นี่เอง. เอาเถิด เราจะส่งคนไปทูลถาม ถ้าเราไปเอง จักมีประโยชน์อะไร พระศาสดาก็จักทรงดุษณีภาพ ก็เมื่อไม่เป็นประโยชน์เช่นนี้ พระศาสดาจักตรัสว่า พระราชาเสด็จไปในที่นั้นจะมีประโยชน์อะไร. ท้าวเธอจึงส่งวัสสการพราหมณ์ไป. พราหมณ์ไปแล้วก็กราบทูลความข้อนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ราชา ฯเปฯ อาปาเทสฺสามิ วชฺชึ ดังนี้.

               ราชอปริหานิยธมฺมวณฺณนา               
               บทว่า ภควนฺตํ วีชยมาโน ความว่า พระเถระยืนถวายงานพัดพระผู้มีพระภาคเจ้าตามธรรมเนียม แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงหนาวหรือทรงร้อนก็หามิได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของพราหมณ์แล้ว ไม่ทรงปรึกษากับพราหมณ์นั้น กลับมีประสงค์จะปรึกษากับพระเถระ จึงตรัสคำว่า กินฺติ เต อานนฺท สุตํ ดังนี้เป็นอาทิ.
               บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา ความว่า ประชุมกันวันละ ๓ ครั้งบ้าง ประชุมกันเป็นระยะบ้าง ชื่อว่าประชุมกันเนืองๆ.
               บทว่า สนฺนิปาตพหุลา ความว่า เมื่อไม่หยุดพักว่าเมื่อวานก็ประชุมกันแล้ว ทั้งวันก่อนก็ประชุมกันแล้ว วันนี้จะประชุมกันทำไมอีก ชื่อว่ามากด้วยการประชุม.
               บทว่า ยาวกีวญฺจ แปลว่า ตลอดกาลเพียงใด.
               บทว่า วุฑฺฒิเยว อานนฺท วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขาโน ปริหานิ ความว่า เพราะเมื่อไม่ประชุมกันเนืองๆ ไม่ฟังข่าวที่มาแต่ทุกทิศทุกทางก็ไม่รู้เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น จากเขตบ้านหรือเขตนิคมโน้น หรือโจรมั่วสุมในที่โน้น. แม้เหล่าโจรรู้ว่า พวกเจ้าพากันประมาท จึงปล้นบ้านและนิคมเป็นต้น ทำชนบทให้พินาศ. พวกเจ้าย่อมเสื่อมด้วยประการฉะนี้.
               แต่เมื่อประชุมกันเนืองๆ รู้ข่าวนั้นๆ แต่นั้นก็จะส่งกำลังไปปราบฝ่ายที่ไม่ใช่มิตร แม้โจรทั้งหลายรู้ว่าพวกเจ้าไม่ประมาท พวกเราก็ไม่อาจจะคุมกันเป็นหมู่เที่ยวไปได้ แล้วก็แตกหนีไป. เจ้าทั้งหลายย่อมเจริญด้วยประการฉะนี้.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ชาววัชชีพึงหวังความเจริญถ่ายเดียว ไม่เสื่อมเลย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขา แปลว่า พึงปรารถนา. อธิบายว่า พึงเห็นอย่างนี้ว่า ความเจริญจักมีแน่แท้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สมคฺคา เป็นต้น ดังนี้.
               เมื่อกลองเรียกประชุมลั่นขึ้น พวกเจ้าลิจฉวีกระทำการบ่ายเบี่ยงว่า วันนี้เรามีกิจ วันนี้มงคล ดังนี้ ชื่อว่าไม่พร้อมเพรียงกันประชุม. แต่พอได้ยินเสียงกลอง กำลังกินก็ดี กำลังแต่งตัวก็ดี กำลังนุ่งผ้าก็ดี กินได้ครึ่งหนึ่งบ้าง แต่งตัวได้ครึ่งหนึ่งบ้าง กำลังนุ่งผ้าบ้าง ก็เข้าประชุม ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันประชุม. ส่วนเข้าประชุมแล้ว ก็คิดก็ปรึกษากัน ทำกิจที่ควรทำ ไม่เลิกพร้อมกัน ชื่อว่าไม่พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม. ก็เมื่อเลิกประชุมกันอย่างนี้แล้ว พวกที่ไปก่อนมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราได้ยินแต่พูดกันนอกเรื่อง บัดนี้ จะพูดแต่เรื่องที่มีข้อยุติ. แต่เมื่อเลิกพร้อมกัน ก็ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก.
               อนึ่ง ได้ยินว่า ความวุ่นวาย หรือโจรมั่วสุมกัน แต่เขตบ้านหรือเขตนิคม ในที่โน้น เมื่อไต่ถามกันว่า ใครจักไปกระทำการปราบฝ่ายที่ไม่ใช่มิตรเล่า ต่างชิงกันอาสาพูดว่า ข้าก่อน ข้าก่อน แล้วพากันไปก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก. แต่เมื่อการงานของเจ้าองค์หนึ่ง ต้องงดไป เหล่าเจ้าที่เหลือก็ส่งบุตรและพี่น้องไปช่วยการงานของเจ้าองค์นั้น ก็ไม่พูดกะเจ้าผู้เป็นอาคันตุกะว่า โปรดเสด็จไปวังของเจ้าองค์โน้นเถิด หากสงเคราะห์พร้อมกันทั้งหมดก็ดี และเมื่องานมงคล โรค หรือสุขทุกข์เช่นนั้นอย่างอื่น เกิดขึ้นแก่เจ้าองค์นั้น ก็พากันไปช่วยเหลือในเรื่องนั้นทั้งหมดก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกัน กระทำกิจที่ชาววัชชีพึงทำ.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อปญฺญตฺตํ เป็นต้นดั่งนี้.
               ไม่ตั้งภาษีอากร หรือพลี หรืออาชญาที่ไม่เคยทำ ชื่อว่าไม่บัญญัติข้อที่ยังไม่บัญญัติ. ส่วนในข้อที่มาโดยโบราณประเพณี ชื่อว่าไม่ถอนข้อที่ท่านบัญญัติไว้แล้ว. เมื่อบุคคลถูกเขาจับมาแสดงว่าเป็นโจร. ไม่ยอมวินิจฉัย สั่งลงโทษโดยเด็ดขาดเลย ชื่อว่าไม่ถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ. เมื่อเจ้าเหล่านั้นบัญญัติข้อที่ยังไม่บัญญัติ พวกผู้คนที่ถูกบีบคั้นด้วยภาษีใหม่เอี่ยมเป็นต้น รู้สึกว่าเราถูกบีบคั้น ใครจักอยู่ในแคว้นของเจ้าเหล่านี้ได้ แล้วก็พากันไปชายแดนเป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวกของโจรบ้าง ปล้นชนบท.
               เมื่อพวกเจ้าเลิกถอนข้อที่บัญญัติไว้ ไม่เก็บภาษีเป็นต้นที่มีมาตามประเพณี เรือนคลังก็เสื่อมเสีย แต่นั้นกองทัพช้าง ม้าและไพร่พล เมื่อไม่ได้วัตถุเนืองนิตย์เหมือนพนักงานต้นห้องเป็นต้น ก็จะเสื่อมทางกำลังใจกำลังกาย พวกเขาก็ไม่ควรจะรบ ไม่ควรจะบำรุงได้. เมื่อไม่ยึดถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ ผู้คนในแว่นแคว้นก็จะพากันโกรธว่า พวกเจ้าทำบุตรบิดาพี่น้องของเราผู้ไม่เป็นโจรว่าเป็นโจรตัดทำลายกัน แล้วพากันไปชายแดน เป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวกของโจรบ้าง โจมตีชนบท. พวกเจ้าย่อมเสื่อมด้วยอาการอย่างนี้.
               แต่เมื่อพวกเจ้าบัญญัติข้อที่บัญญัติแล้ว พวกผู้คนก็จะพากันร่าเริงยินดีว่า พวกเจ้ากระทำแต่ข้อที่มาตามประเพณี ดังนี้แล้ว ต่างก็จะทำการงานมีกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้นให้เกิดผลสมบูรณ์. เมื่อไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติไว้แล้ว เก็บภาษีเป็นต้นที่มีมาตามประเพณี เรือนคลังก็เจริญ แต่นั้นทัพช้างม้าและไพร่พล เมื่อได้วัตถุเนืองนิตย์ เหมือนพนักงานต้นห้อง สมบูรณ์ด้วยกำลังใจกำลังกายแล้ว ควรรบได้ ควรบำรุงได้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โปราณํ วชฺชิธมฺมํ นี้ดังต่อไปนี้
               เขาว่า พวกเจ้าวัชชีแต่ก่อน ไม่ตรัสว่า เมื่อตนถูกเขานำมาแสดงว่าผู้นี้เป็นโจร พวกท่านจงจับโจรนั้น แล้วมอบให้มหาอำมาตย์ฝ่ายสอบสวน. ฝ่ายอำมาตย์เหล่านั้นสอบสวนแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่โจรก็ปล่อยไป ถ้าเป็นโจรก็ไม่พูดอะไรๆ ด้วยตนเอง แล้วมอบให้มหาอำมาตย์ฝ่ายผู้พิพากษา. มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาวินิจฉัยแล้ว ถ้าไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป ถ้าเป็นโจร ก็มอบให้แก่มหาอำมาตย์ฝ่ายที่ชื่อว่าลูกขุน. ลูกขุนเหล่านั้นวินิจฉัยแล้ว หากไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป หากเป็นโจร ก็มอบให้มหาอำมาตย์ ๘ ตระกูล. มหาอำมาตย์ ๘ ตระกูลนั้นก็กระทำอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมอบให้เสนาบดี. เสนาบดีก็มอบให้แก่อุปราช อุปราชก็มอบถวายแด่พระราชา.
               พระราชาวินิจฉัยแล้ว หากว่าไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป หากว่าเป็นโจร ก็จะโปรดให้เจ้าหน้าที่อ่านคัมภีร์กฎหมายประเพณี.
               ในคัมภีร์กฎหมายประเพณีนั้นเขียนไว้ว่า ผู้ใดทำความผิดชื่อนี้ ผู้นั้นจะต้องมีโทษชื่อนี้. พระราชาทรงนำการกระทำของผู้นั้นมาเทียบกับตัวบทกฎหมายนั้นแล้ว ทรงลงโทษตามสมควรแก่ความผิดนั้น. ดังนั้น เมื่อพวกเจ้ายึดถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ ผู้คนทั้งหลายย่อมไม่ติเตียน. พวกเจ้าทั้งหลายย่อมทำงานตามประเพณีโบราณ เจ้าเหล่านั้นย่อมไม่มีโทษ ย่อมมีโทษแต่เราเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ประมาททำการงาน. เจ้าทั้งหลายย่อมเจริญด้วยอาการอย่างนี้.
               ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึงหวังความเจริญถ่ายเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย.
               บทว่า สกฺกโรนฺติ ได้แก่ เมื่อกระทำสักการะแก่เจ้าวัชชีเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมกระทำแต่ดีๆ เท่านั้น. บทว่า ครุกโรนฺติ ได้แก่ กระทำการเชิดชูความเป็นผู้ควรเคารพ. บทว่า มาเนนฺติ ได้แก่ รักด้วยใจ. บทว่า ปูเชนฺติ ได้แก่ แสดงการนอบน้อม.
               บทว่า โสตพฺพํ มญฺญนฺติ ได้แก่ ไปปรนนิบัติวันละ ๒-๓ ครั้ง ย่อมสำคัญถ้อยคำของเจ้าวัชชีเหล่านั้นว่าควรฟังควรเชื่อ.
               พึงทราบวินิจฉัยในข้อนั้น ดังนี้.
               ชนเหล่าใดไม่ทำสักการะแก่เจ้าผู้เฒ่าผู้แก่อย่างนี้ และไม่ไปปรนนิบัติเจ้าเหล่านั้น เพื่อฟังโอวาท ชนเหล่านั้นถูกเจ้าเหล่านั้นสลัดทิ้งไม่โอวาท ใฝ่ใจแต่การเล่น ก็ย่อมเสื่อมจากความเป็นพระราชา. ส่วนเจ้าเหล่าใดปฏิบัติตามอย่างนั้น เจ้าผู้เฒ่าผู้แก่ย่อมสอนประเพณีโบราณแก่เจ้าเหล่านั้นว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ แม้ถึงสมัยทำสงคราม ก็ย่อมแสดงอุบายว่า ควรเข้าไปอย่างนี้ ควรออกไปอย่างนี้. เจ้าเหล่านั้นรับโอวาท ปฏิบัติตามโอวาท ย่อมสามารถดำรงราชประเพณีไว้ได้.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานนท์ เหล่าเจ้าวัชชีพึงหวังความเจริญถ่ายเดียวไม่เสื่อมเลย.
               บทว่า กุลิตฺถิโย ได้แก่ หญิงแม่เรือนของตระกูล. บทว่า กุลกุมาริโย ได้แก่ ธิดาของหญิงแม่เรือนเหล่านั้น ผู้ยังไม่เป็นอิสสระ. ในคำว่า โอกฺกสฺส ปสยฺห นี้คำว่า โอกฺกสฺส ก็ดี ปสยฺห ก็ดีนี้เป็นชื่อของอาการข่มขืน. ศาสนิกชนสวดว่า อุกฺกสฺส ดังนี้ก็มี. ในบทเหล่านั้น บทว่า โอกฺกสฺส แปลว่า ฉุดคร่า. บทว่า ปสยฺห แปลว่า ข่มขืน.
               ก็เมื่อเจ้าเหล่านั้นกระทำอย่างนี้ พวกผู้คนในแว่นแคว้น ก็พากันโกรธว่า พวกเจ้าเหล่านี้จับบุตรและมารดาในเรือนของเราบ้าง จับธิดาที่เราเอาปากดูดน้ำลายน้ำมูกเป็นต้น เลี้ยงเติบโตมา โดยพลการให้อยู่ ในเรือนของตนบ้าง แล้วเข้าไปในปลายแดนเป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวกโจรบ้าง โจมตีชนบท. แต่เมื่อไม่กระทำอย่างนั้น พวกผู้คนในแว่นแคว้น ก็ขวนขวายน้อย ทำการงานของตน ย่อมทำคลังหลวงให้เจริญ.
               พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า วชฺชีนํ วชฺชิเจติยานิ ความว่า สถานที่ยักษ์ ได้นามว่าเจดีย์ เพราะอรรถว่าเขาทำไว้อย่างงดงาม ในแว่นแคว้น คือรัฐของพวกเจ้าวัชชี. บทว่า อพฺภนฺตรานิ คือ ตั้งอยู่ภายในพระนคร. บทว่า พาหิรานิ คือ ตั้งอยู่ภายนอกพระนคร. บทว่า ทินฺนปุพฺพํ แปลว่า ที่เขาเคยให้. บทว่า กตปุพฺพํ คือ ที่เขาเคยทำ.
               บทว่า โน ปริหาเปสฺสนฺติ ความว่า จักไม่ให้ลดลง กระทำตามเดิมนั่นเอง.
               จริงอยู่ เมื่อเจ้าวัชชีลดพลีกรรมที่ชอบธรรมเสีย เหล่าเทพยดาย่อมไม่กระทำอารักขาที่จัดไว้อย่างดี ทั้งไม่สามารถที่จะยังทุกข์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำโรคไอโรคในศีรษะเป็นต้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้กำเริบ เมื่อมีสงครามก็ไม่ช่วย แต่เมื่อพวกเจ้าวัชชีไม่ลดพลีกรรม เทพยดาทั้งหลายย่อมกระทำอารักขาที่จัดไว้เป็นอันดี ถึงไม่สามารถทำสุขที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น แต่ก็กำจัดโรคไอโรคในศีรษะเป็นต้น ที่เกิดขึ้นแล้วได้ ทั้งจะช่วยในยามสงคราม ด้วยพึงทราบความเจริญ และความเสื่อมในข้อนี้ ดังกล่าวมานี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ ดังต่อไปนี้
               ชื่อว่าอาวรณะ เพราะป้องกันโดยประการที่ สิ่งซึ่งไม่น่าปรารถนา ยังไม่มาถึง. ชื่อว่าคุตติ เพราะคุ้มครองโดยประการที่ สิ่งซึ่งปรารถนามีอยู่แล้ว ยังไม่เสียหาย ชื่อว่ารักขาเหมือนกัน. ในคำนั้น การล้อมรักษาด้วยกองเพลิง ไม่ชื่อว่าธัมมิการักขาวรณคุตติ เพื่อบรรพชิต แต่การกระทำโดยที่ไม่ตัดต้นไม้ในป่าใกล้วิหาร ไม่จับเนื้อด้วยตาข่าย ไม่จับปลาในสระโปกขรณี ชื่อว่าธัมมิการักขาวรณคุตติ.
               ก็ด้วยคำว่า กินฺติ อนาคตา จ นี้ ท่านถามความในใจของเจ้าวัชชีเหล่านั้นว่า มีจิตสันดานปรากฏอย่างนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังต่อไปนี้.
               เจ้าวัชชีเหล่าใดไม่ปรารถนาการมาของพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่มา เจ้าวัชชีเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส เมื่อบรรพชิตมาถึงแล้ว ก็ไม่ไปต้อนรับ ไม่ไปเยี่ยม ไม่กระทำปฏิสันถาร ไม่ถามปัญหา ไม่ฟังธรรม ไม่ให้ทาน ไม่ฟังอนุโมทนา ไม่จัดที่อยู่อาศัย
               เมื่อเป็นเช่นนั้น เสียงติเตียนเจ้าวัชชีเหล่านั้นก็จะกระฉ่อนไปว่า เจ้าชื่อโน้นไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส เมื่อบรรพชิตมาถึงก็ไม่ต้อนรับ ฯลฯ ไม่จัดที่อยู่อาศัย.
               เหล่าบรรพชิตฟังเรื่องนั้นแล้ว แม้ผ่านทางประตูพระนครของเจ้าองค์นั้น ก็ไม่เข้าไปยังพระนคร. เหล่าพระอรหันต์ที่ยังไม่มา ก็ย่อมไม่มาด้วยประการฉะนี้. เมื่อที่อยู่อย่างผาสุก สำหรับพระอรหันต์ที่มาแล้วไม่มี. แม้เหล่าพระอรหันต์ที่ไม่รู้มาถึง ก็คิดว่าก่อนอื่น เราคิดจะมาอยู่ แต่ใครเล่าจักอยู่ได้ โดยความไม่ใยดีของเจ้าเหล่านี้ ดังนี้แล้วก็พากันออกไปเสีย. โดยประการดังกล่าวมานี้ เมื่อเหล่าพระอรหันต์ที่ยังไม่มาก็ไม่มา ที่มาแล้วก็อยู่ลำบาก ถิ่นนั้นย่อมไม่ใช่เป็นที่อยู่สำหรับบรรพชิต.
               แต่นั้น การอารักขาของเทวดาก็ย่อมไม่มี เมื่อเป็นดังนั้น เหล่าอมนุษย์ก็ได้โอกาส. เหล่าอมนุษย์ก็แน่นหนา ย่อมทำความป่วยไข้ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น. บุญอันมีที่ตั้งเช่นการเห็นการถามปัญหาเหล่าท่านผู้มีศีลเป็นต้น ก็ไม่มาถึง. แต่เมื่อว่าโดยปริยายกลับกันบุญอันเป็นฝ่ายขาว ที่ตรงกันข้ามกับบาปฝ่ายดำ ตามที่กล่าวแล้วย่อมเกิดพร้อม พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ดังกล่าวมาฉะนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ว่า เอกมิทาหํ ก็เพื่อทรงประกาศภาวะแห่งวัชชีสูตรนี้ที่ทรงแสดงไว้แล้วแก่เหล่าเจ้าวัชชีในกาลก่อน.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สารนฺทเท เจติเย คือ วิหารที่มีชื่ออย่างนี้ ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ สถานที่อยู่ของสารันททยักษ์ ในที่นั้นได้เป็นเจดีย์. ครั้งนั้นเหล่าเจ้าวัชชี ให้สร้างวิหารถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าลงในที่นั้น. วิหารนั้นก็นับได้ว่า สารันททเจดีย์นั่นเอง เพราะทรงสร้างไว้ตรงที่สารันททเจดีย์.
               บทว่า อกรณียา แปลว่า ไม่พึงกระทำ อธิบายว่าไม่ควรยึดถือ. คำว่า ยทิทํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ยุทฺธสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัติ ลงในอรรถตติยาวิภัติ. ความว่า ใครๆ ไม่อาจเผชิญหน้าต่อยุทธ์ได้.
               บทว่า อญฺญตฺร อุปลาปนาย ได้แก่ นอกจากการเจรจากัน. อธิบายว่า การส่งเครื่องบรรณาการมีช้าง ม้า รถ เงิน และทองเป็นต้น สงเคราะห์กัน ด้วยกล่าวว่า พอกันทีสำหรับการขัดแย้งกัน พวกเราสามัคคีกันเดี๋ยวนี้เถิด ดังนี้ ชื่อว่าการเจรจากัน. กระทำการสงเคราะห์กันอย่างนี้ ก็อาจยึดเหนี่ยวกันไว้ได้ ด้วยความสนิทสนมอย่างเดียว.
               บทว่า อญฺญตฺร มิถุเภทาย ได้แก่ นอกจากทำให้แตกกันเป็นสองฝ่าย ด้วยคำนี้ ท่านแสดงว่า แม้กระทำการแตกซึ่งกันและกัน ก็อาจจับเหล่าเจ้าวัชชีเหล่านั้นได้. พราหมณ์ได้นัยแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงกล่าวคำนี้.
               ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพราหมณ์ได้นัยแห่งพระดำรัสนี้หรือ.
               ตอบว่า ทรงทราบสิ.
               ถามว่า เมื่อทรงทราบ เหตุไรจึงตรัส.
               ตอบว่า เพราะทรงอนุเคราะห์.
               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงพระดำริว่า แม้เมื่อเราไม่กล่าว ๒-๓ วัน พราหมณ์จักไปจับเจ้าวัชชีเหล่านั้น แต่เมื่อเรากล่าว พราหมณ์เมื่อจะทำลายสามัคคี ก็ต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี จักมีชีวิตอยู่เพียงเท่านี้ก็ประเสริฐแล้ว ด้วยว่าเหล่าเจ้าวัชชีเป็นอยู่ได้เพียงนี้ ก็จักทำบุญเป็นที่พึ่งของตนกันได้.
               บทว่า อภินนฺทิตฺวา แปลว่า บันเทิงจิต. บทว่า อนุโมทิตฺวา ได้แก่ อนุโมทนาด้วยวาจาว่า ท่านพระโคดม คำนี้เป็นวาจาสุภาษิตแท้. บทว่า ปกฺกามิ ได้แก่ไปยังราชสำนัก.
               ลำดับนั้น พระราชา (อชาตศัตรู) ตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า อาจารย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ากระไร. พราหมณ์ทูลว่า พระดำรัสของท่านพระสมณโคดม บ่งชี้ว่า ใครๆ ไม่อาจจับเหล่าเจ้าวัชชีได้ แต่ว่า อาจจับได้ด้วยการเจรจา ๑ ด้วยการทำให้แตกสามัคคี ๑.
               พระราชาตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า ช้าง ม้า เป็นต้นของเรา จักพินาศด้วยการเจรจา เราจักจับเหล่าเจ้าวัชชีด้วยการทำลายสามัคคีเท่านั้น เราจักทำอย่างไร.
               พราหมณ์ทูลว่า พระมหาราชเจ้า ถ้าอย่างนั้น ขอได้โปรดปรารภแคว้นวัชชี ยกเรื่องขึ้นตรัสในที่ประชุม แต่นั้น ข้าพระองค์จักทูลว่า พระมหาราชเจ้า พระองค์จะทรงประสงค์อะไรด้วยสมบัติของเจ้าเหล่านั้น เจ้าเหล่านั้นจงทำกสิกรรมและพานิชยกรรมเป็นต้นเลี้ยงชีพอยู่เถิด แล้วทำทีจะหลบหนีไป ต่อนั้น พระองค์พึงตรัสว่า เหตุไรหนอ ท่านพราหมณ์ผู้นี้จึงคัดค้านเรื่องแคว้นวัชชีที่ปรารภกัน. ตอนกลางวัน ข้าพระองค์จักส่งเครื่องบรรณาการไปถวายเจ้าวัชชีเหล่านั้น แม้พระองค์ก็จงให้จับข้าพระองค์นั้น ยกโทษของข้าพระองค์ ไม่ทำการจองจำและเฆี่ยนตีเป็นต้น หากแต่โกนหัวอย่างเดียว เนรเทศออกไปจากพระนคร เมื่อเป็นดังนั้น ข้าพระองค์จักกล่าวว่า ข้าพระองค์ให้สร้างกำแพงและคูในพระนครของพระองค์ ข้าพระองค์จะรู้ถึงสถานที่มั่นคงและอ่อนแอ และสถานที่ตื้นและลึกบัดนี้ ข้าพระองค์จักทำพระนครนั้นให้ตรงไม่นานเลย พระองค์ฟังคำนั้น พึงตรัสสั่งไล่ให้ไปดังนี้. พระราชาก็ได้ทำทุกประการ.
               เหล่าเจ้าลิจฉวีทรงสดับการเนรเทศพราหมณ์นั้นแล้วตรัสว่า พราหมณ์โอ้อวด ท่านทั้งหลายอย่าให้พราหมณ์นั้นข้ามแม่น้ำคงคาไปได้. บรรดาเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น เมื่อเจ้าลิจฉวีบางพวกกล่าวว่า เขาว่า พราหมณ์นั้นถูกเขาทำอย่างนี้ เพราะเขาพูดปรารภพวกเรา เจ้าวัชชีอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พนาย ท่านอย่าได้ให้พราหมณ์เข้ามา.
               พราหมณ์นั้นไปพบพวกเจ้าลิจฉวี ถูกถามว่า ท่านได้ทำผิดอะไรจึงเล่าเรื่องนั้น. พวกเจ้าลิจฉวีกล่าวว่า พราหมณ์ทำผิดเล็กน้อย ไม่ควรลงโทษหนักอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า ในนครนั้น ท่านมีตำแหน่งอะไร. พราหมณ์ตอบว่า ข้าพระองค์เป็นอำมาตย์ฝ่ายวินิจฉัย. เจ้าลิจฉวีตรัสว่าท่านจงดำรงตำแหน่งนั้นนั่นแล. พราหมณ์นั้นก็ทำหน้าที่วินิจฉัยเป็นอันดี.
               ราชกุมารทั้งหลายพากันศึกษาศิลปะในสำนักของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์นั้นทรงคุณ วันหนึ่ง พาเจ้าลิจฉวีองค์หนึ่งไปที่แห่งหนึ่ง ถามว่า เด็กๆ ทำนากันหรือ. เจ้าลิจฉวีองค์หนึ่งตอบว่า เออ ทำนา ถามว่า เทียมโคคู่หรือ. ตอบว่า เออ เทียมโคคู่. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้วก็กลับไป. ต่อนั้น เจ้าลิจฉวีองค์อื่นจึงถามเจ้าลิจฉวีองค์นั้นว่า อาจารย์พูดกระไร ไม่เชื่อคำเจ้าลิจฉวีองค์นั้นบอก คิดว่าเจ้าลิจฉวีองค์นั้นไม่บอกเราตามเป็นจริง ก็แตกกับเจ้าลิจฉวีองค์นั้น. แม้ในวันอื่นๆ พราหมณ์ก็พาเจ้าลิจฉวีองค์หนึ่ง ไปที่แห่งหนึ่ง ถามว่า ท่านเสวยกับอะไรแล้วก็กลับ. เจ้าลิจฉวีองค์อื่นไม่เชื่อก็แตกกันอย่างนั้นเหมือนกัน.
               แม้ในวันต่อๆ มา พราหมณ์ก็พาเจ้าลิจฉวีอีกองค์หนึ่ง ไปที่แห่งหนึ่งแล้วถามว่า เขาว่าท่านจนนักหรือ. ย้อนถามว่าใครพูดอย่างนี้. พราหมณ์ตอบว่า เจ้าลิจฉวีชื่อโน้น. พราหมณ์ก็พาเจ้าลิจฉวีองค์อื่นๆ ไปที่แห่งหนึ่ง แล้วถามว่า เขาว่าท่านขลาดนักหรือ. ย้อนถามว่าใครพูดอย่างนั้น. ตอบว่า เจ้าลิจฉวีชื่อโน้น.
               พราหมณ์กล่าวถ้อยคำที่เจ้าลิจฉวีอีกองค์หนึ่ง มิได้กล่าวต่อเจ้าลิจฉวีอีกองค์หนึ่งด้วยอาการอย่างนี้ ๓ ปี จึงแยกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นออกจากกัน แล้วกระทำโดยประการที่เจ้าลิจฉวีทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่เดินทางเดียวกันจึงให้ตีกลองเรียกประชุม. พวกเจ้าลิจฉวีกล่าวกันว่า ผู้เป็นใหญ่จงประชุมกัน ผู้กลัวจงประชุมกันเถิด แล้วก็ไม่ประชุมกัน. พราหมณ์จึงส่งข่าวถวายพระราชาว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว โปรดรีบเสด็จมาเถิด.
               พระราชาสดับแล้วก็โปรดให้ตีกลองเรียกไพร่พล เสด็จกรีธาทัพออกไป. ชาวเมืองเวสาลีก็ตีกลองประกาศว่า พวกเราจักไม่ยอมให้พระราชาเสด็จข้ามแม่น้ำคงคา. ชาวเมืองเวสาลีฟังประกาศนั้นแล้ว ก็พูดว่าคนเป็นใหญ่จงไปกันเถิด ดังนี้เป็นต้น แล้วก็ไม่ไปประชุมกัน. ชาวเมืองเวสาลีก็ตีกลองประกาศว่า พวกเราจักไม่ให้พระราชาเสด็จเข้าพระนครจะปิดประตูอยู่เสีย ไม่ไปประชุมแม้แต่คนเดียว. พระราชาเสด็จเข้าทางประตูตามที่เปิดไว้ ทรงทำเหล่าเจ้าวัชชีทั้งหมดให้ถึงความย่อยยับแล้วเสด็จไป.

               ภิกฺขุอปริหานิยธมฺมวณฺณนา               
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อถโข ภควา อจิรปกฺกนฺเต เป็นต้น ดังต่อไปนี้.
               บทว่า สนฺนิปาเตตฺวา ความว่า พระอานนท์เรียกประชุมว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จงส่งท่านผู้มีฤทธิ์ไปที่วิหารไกลๆ จงไปประชุมกันเอง ที่วิหารใกล้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะประชุมพวกท่าน.
               บทว่า อปริหานิเย ความว่า ไม่กระทำเหตุแห่งความเจริญให้เสื่อม.
               บทว่า ธมฺเม เทเสสฺสามิ ความว่า เราจักกล่าวให้แจ่มชัด ประหนึ่งยกพระจันทร์พันดวง พระอาทิตย์พันดวงขึ้น ประหนึ่งตามประทีปน้ำมันพันดวงที่สี่มุมเรือน.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา นี้ ก็เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้แล้วในการประชุมของเจ้าวัชชีนั่นเอง.
               อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่ประชุมกันเนืองๆ ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้ยินข่าวที่มาในทิศต่างๆ แต่นั้น สีมาของวัดโน้นก็วุ่นวาย อุโบสถและปวารณาก็งด ภิกษุทั้งหลายในที่โน้นกระทำอเนสนกรรมมีเวชชกรรมและทูตกรรมเป็นต้น เป็นผู้มากด้วยวิญญัติ ไม่รู้จักกิจเป็นต้นว่าเลี้ยงชีวิตด้วยอเนสนกรรมมีการให้ดอกไม้เขาเป็นต้น.
               แม้ภิกษุชั่วทั้งหลายรู้ว่าสงฆ์เผลอ รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ย่อมทำศาสนาให้เสื่อมถอย. แต่เพราะประชุมกันเนืองๆ ภิกษุทั้งหลายย่อมได้ยินเรื่องนั้นๆ. แต่นั้นก็ส่งภิกษุสงฆ์ไปกระทำสีมาให้ตรง ทำอุโบสถและปวารณาเป็นต้นให้เป็นไป ส่งภิกษุผู้นับเนื่องในอริยวงศ์ไปในที่ที่เหล่าภิกษุมิจฉาชีพหนาแน่น ให้กล่าวอริยวงศ์ ให้เหล่าพระวินัยธรกระทำนิคคหะภิกษุชั่วทั้งหลาย
               แม้ภิกษุชั่วทั้งหลายรู้ว่าสงฆ์ไม่เผลอ พวกเราไม่อาจรวมเป็นหมู่เป็นกลุ่มกันได้ ก็แตกหนีไป. พึงทราบความเสื่อมและความเจริญในข้อนี้ด้วยประการฉะนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สมคฺคา เป็นต้นดังต่อไปนี้
               เมื่อเขาตีกลองหรือเคาะระฆังประกาศว่า สงฆ์จงประชุมกัน เพราะประสงค์จะแจ้งวัตตกติกา เพราะประสงค์จะให้โอวาท เพื่อปฏิบัติพระเจดีย์ ปฏิบัติลานโพธิ์ หรือเพื่อมุงโรงอุโบสถ กระทำการหลีกเลี่ยงว่า ผมมีกิจด้วยจีวร ผมสุมบาตร ผมมีการก่อสร้าง ชื่อว่าไม่พร้อมเพรียงกันกระทำ. ส่วนภิกษุทั้งหลายเว้นกิจการนั้นทั้งหมด ประชุมกันโดยการป่าวร้องครั้งเดียวเท่านั้นด้วยความสนใจว่า ผมก่อน ผมก่อน ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันประชุม.
               อนึ่งประชุมกันแล้ว คิดปรึกษากัน กระทำกิจที่ควรทำไม่เลิกพร้อมกัน ไม่ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก. ก็บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้เลิกกันแล้วอย่างนี้ พวกภิกษุที่ไปก่อนคิดอย่างนี้ว่า พวกเราฟังแต่เรื่องนอกเรื่อง บัดนี้จักพูดกันแต่ข้อที่ยุติ. แต่เมื่อเลิกโดยพร้อมเพรียงกัน ก็ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก.
               อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสดับว่า สีมาของวิหารในที่ชื่อโน้นวุ่นวาย อุโบสถและปวารณาก็งด ภิกษุชั่วผู้กระทำอเนสนกรรมมีเวชชกรรมเป็นต้น ในที่ชื่อโน้นมีหนาแน่น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ใครจะไปทำการนิคคหะภิกษุเหล่านั้น จึงพูดรับอาสาว่า ผมก่อน ผมก่อนแล้วก็ไป ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก.
               ก็ภิกษุทั้งหลายพบภิกษุอาคันตุกะ ไม่พูดอะไรว่า จงไปบริเวณนี้ จงไปบริเวณนั้นทั้งหมดแม้กระทำวัตรอยู่ก็ดี พบภิกษุผู้มีบาตรจีวรเก่าแสวงหาบาตรจีวรด้วยภิกษุจารวัตร เพื่อภิกษุนั้นก็ดี แสวงหาคิลานเภสัชช์ (ยา) เพื่อภิกษุไข้ก็ดี ไม่พูดกะภิกษุไข้ผู้ไม่มีที่พึ่งว่า จงไปบริเวณโน้นซิ จงไปบริเวณโน้นซิก็ดี ปฏิบัติในบริเวณของตนๆ อยู่ก็ดี มีคัมภีร์เหลืออยู่คัมภีร์หนึ่ง ก็สงเคราะห์ภิกษุ ผู้มีปัญญาให้ภิกษุนั้นยกคัมภีร์นั้นขึ้นก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันกระทำกิจของสงฆ์ที่พึงกระทำ.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อปญฺญตฺตํ ดังนี้เป็นต้น ดังต่อไปนี้.
               ภิกษุทั้งหลายแต่งวัตตกติกา หรือสิกขาบทที่ไม่ชอบธรรมขึ้นใหม่ ชื่อว่าบัญญัติข้อที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เหมือนพวกภิกษุเมืองสาวัตถี ในเรื่องหล่อสันถัตเก่า. พวกภิกษุที่แสดงคำสั่งสอนนอกธรรมนอกวินัย ชื่อว่าถอดถอนข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติแล้ว เหมือนพวกภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี. ส่วนพวกภิกษุจงใจล่วงละเมิดอาบัติเล็กๆ น้อยๆ ชื่อว่าไม่สมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลาย ตามที่ทรงบัญญัติไว้ เหมือนอย่างภิกษุอัสสชิปุนัพพสุกะ.
               ส่วนภิกษุทั้งหลายไม่แต่งวัตตกติกา หรือสิกขาบทขึ้นใหม่ แสดงคำสั่งสอนจากธรรมวินัย ไม่ถอดถอนสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ชื่อว่าไม่บัญญัติข้อที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอดถอนข้อที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ เหมือนท่านพระอุปเสนะ ท่านพระยสกากัณฑกบุตร และท่านพระมหากัสสปะผู้ตั้งแบบแผนนี้ว่า
               ท่านผู้มีอายุ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบททั้งหลายของพวกเรา เป็นส่วนของคฤหัสถ์มีอยู่ แม้คฤหัสถ์ทั้งหลายก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่สมณะศากยบุตรของพวกท่าน สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกท่าน ก็ถ้าพวกเราจักถอดถอนสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ กันไซร้ ก็จักมีผู้ว่ากล่าวเอาได้ว่า สิกขาบทที่พระสมณโคดมบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย อยู่ได้ชั่วควันไฟ สาวกเหล่านี้ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบเท่าที่ศาสดา ของสาวกเหล่านี้ยังดำรงอยู่ เพราะศาสดาของสาวกเหล่านี้ปรินิพพานเสียแล้ว บัดนี้ สาวกเหล่านี้ก็ไม่ยอมศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ดังนี้
               ผิว่า ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติข้อที่ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่พึงถอดถอนข้อที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติไว้.

               บทว่า วุฑฺฒิเยว ได้แก่ ความเจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ไม่เสื่อมเลย.
               บทว่า เถรา ได้แก่ ผู้ถึงความเป็นผู้มั่นคง คือประกอบด้วยคุณอันกระทำความมั่นคง.
               ชื่อว่า รัตตัญญู เพราะรู้ราตรีมาก.
               ชื่อว่า จิรปพฺพชิตา เพราะบวชมานาน.
               ชื่อว่า สงฺฆปิตโร เพราะตั้งอยู่ในฐานะเป็นบิดาของสงฆ์.
               ชื่อว่า สงฺฆปริณายกา เพราะปริหารสงฆ์เหตุตั้งอยู่ในฐานะเป็นบิดา เป็นหัวหน้าปฏิบัติในบท คือสิกขา ๓.
               ภิกษุเหล่าใดไม่กระทำสักการะเป็นต้นแก่พระเถระเหล่านั้น ไม่ไปปรนนิบัติวันละ ๒-๓ ครั้ง เพื่อรับโอวาทพระเถระแม้เหล่านั้น ย่อมไม่ให้โอวาท ไม่กล่าวเรื่องประเพณี ไม่ให้ศึกษาธรรมบรรยายอันเป็นสาระแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้นถูกพระเถระเหล่านั้นสลัดเสียแล้ว ย่อมเสื่อมจากคุณทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือจากธรรมขันธ์ มีศีลขันธ์เป็นต้นและจากอริยทรัพย์ ๗.
               ส่วนภิกษุเหล่าใดกระทำสักการะเป็นต้นไปปรนนิบัติพระเถระเหล่านั้น พระเถระแม้เหล่านั้นย่อมให้โอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า เธอพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลอย่างนี้ พึงเหลียวอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงทรงบาตร และจีวรอย่างนี้ ย่อมสอนเรื่องประเพณี ย่อมให้ศึกษาธรรมบรรยายที่เป็นสาระ พร่ำสอนด้วยธุดงค์ ๑๓ กถาวัตถุ ๑๐. ภิกษุเหล่านั้นอยู่ในโอวาทของพระเถระเหล่านั้นเจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ย่อมบรรลุสามัญญผลโดยลำดับ.
               พึงทราบความเสื่อมและความเจริญในข้อนี้ด้วยประการฉะนี้.
               การให้การเกิดอีกชื่อว่าภพใหม่ ภพใหม่นั้นเป็นปกติของตัณหานั้น เหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่า โปโนพฺภวิกา. อธิบายว่า ให้เกิดอีกแห่งตัณหาผู้ให้ภพใหม่นั้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น วสํ คจฺฉิสฺสนฺติ ดังต่อไปนี้
               ภิกษุเหล่าใดรับบิณฑบาตของอุปัฏฐากแล้ว จากบ้านหนึ่งไปบ้านหนึ่ง เพราะเหตุแห่งปัจจัย ๔ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าอยู่ในอำนาจของตัณหานั้น. ฝ่ายภิกษุผู้ไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ชื่อว่าไม่อยู่ในอำนาจแห่งตัณหา. ความเสื่อมและความเจริญในข้อนั้นปรากฏชัดแล้ว.
               บทว่า อารญฺญเกสุ ได้แก่ ป่าชั่ว ๕๐๐ ธนูเป็นที่สุด.
               บทว่า สาเปกฺขา ได้แก่ มีตัณหา มีอาลัย.
               ภิกษุแม้ยังไม่บรรลุฌานในเสนาสนะใกล้บ้าน พอออกจากฌานนั้น ได้ยินเสียงหญิงชายและเด็กหญิงเป็นต้น เป็นเหตุเสื่อมคุณวิเศษที่ภิกษุนั้นบรรลุแล้ว แต่เธอนอนในป่า พอตื่นขึ้นก็ได้ยินแต่เสียงราชสีห์ เสือ และนกยูงเป็นต้น อย่างที่เธอได้ปีติในป่าแล้วพิจารณาปีตินั้นนั่นแล ตั้งอยู่ในผลอันเลิศ.
               ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสรรเสริญภิกษุผู้หลับอยู่ในป่าเท่านั้น ยิ่งกว่าภิกษุผู้ไม่บรรลุฌานอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นั้นนั่นแล จึงตรัสว่า จักเป็นผู้อาลัยในเสนาสนะป่า.
               บทว่า ปจฺจตฺตํเยว สตึ อุปฎฺฐเปสฺสนฺติ ได้แก่ จักไปตั้งสติไว้ภายในของตน.
               บทว่า เปสลา แปลว่า ผู้น่ารัก.
               เหล่าภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนาให้เพื่อนสพรหมจารีมาในที่นี้ เป็นผู้ไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ทำสามีจิกรรม มีไปต้อนรับ รับบาตรจีวร ปูอาสนะ พัดด้วยพัดใบตาลเป็นต้นแก่เหล่าภิกษุผู้มาถึงแล้ว. ครั้งนั้น เสียงติเตียนภิกษุเหล่านั้นก็กระพือไปว่า เหล่าภิกษุวัดโน้นไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใส ไม่ทำวัตตปฏิบัติแก่เหล่าภิกษุผู้เข้าไปวัด. บรรพชิตทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้วก็ผ่านประตูวัด ไม่ยอมเข้าวัด. เหล่าภิกษุที่ยังไม่มา ย่อมไม่มาด้วยประการฉะนี้.
               ส่วนสำหรับเหล่าภิกษุที่มาแล้ว เมื่อไม่มีวัดอยู่ผาสุก เหล่าภิกษุที่ไม่รู้มาแล้ว ก็คิดก่อนว่าจะอยู่ แต่ก็ต้องออกไปเสีย ด้วยเห็นว่าพวกเรามากันแล้ว แต่ด้วยความไม่นำพานี้ของภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านี้ ใครจักอยู่ได้. เมื่อเป็นดังนั้น วัดนั้นภิกษุอื่นๆ ก็มาอยู่ไม่ได้. แต่นั้น เหล่าภิกษุเจ้าถิ่นเมื่อไม่ได้พบเหล่าภิกษุผู้มีศีล ก็พลอยไม่ได้ภิกษุผู้ช่วยบรรเทาความสงสัย หรือผู้ให้ศึกษาธรรมบรรยาย หรือฟังธรรมอันไพเราะ ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นก็เป็นอันไม่ได้รับธรรมที่ยังไม่ได้รับ ไม่ได้กระทำการสาธยายธรรมที่รับไว้แล้ว. ดังนั้น ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นจึงมีแต่ความเสื่อมถ่ายเดียว ไม่มีความเจริญเลย.
               ส่วนภิกษุเหล่าใดปรารถนาจะให้เพื่อนสพรหมจารีมา ภิกษุเหล่านั้นมีศรัทธามีความเลื่อมใส กระทำการต้อนรับเป็นต้นแก่เพื่อนสพรหมจารีที่มากันแล้ว จัดเสนาสนะให้ พาเข้าไปภิกษาจาร บรรเทาความสงสัย ได้ฟังธรรมอันไพเราะ เมื่อเป็นเช่นนั้น กิตติศัพท์ของภิกษุเหล่านั้นก็ฟุ้งขจรไปว่า เหล่าภิกษุในวัดโน้นมีศรัทธา เลื่อมใส ถึงพร้อมด้วยวัตร สงเคราะห์อย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว แม้ไกลก็พากันไป
               เหล่าภิกษุเจ้าถิ่นกระทำวัตรแก่ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้น มาใกล้ๆ แล้วไหว้อาคันตุกะผู้แก่กว่าแล้วนั่ง ถืออาสนะนั่งใกล้ๆ อาคันตุกะผู้อ่อนกว่า แล้วถามว่า พวกท่านจักอยู่ในวัดนี้หรือจักไป เมื่ออาคันตุกะตอบว่าจักไป ก็กล่าวว่าเสนาสนะสบาย ภิกษาก็หาได้ง่าย ไม่ยอมให้ไป. ถ้าอาคันตุกะเป็นวินัยธร ก็สาธยายวินัยในสำนักของพระวินัยธร ถ้าอาคันตุกะทรงพระสูตรเป็นต้น ก็สาธยายธรรมนั้นๆ ในสำนักของพระธรรมธรนั้น อยู่ในโอวาทของพระอาคันตุกะผู้เป็นพระเถระ ย่อมบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. เหล่าพระอาคันตุกะคิดจะอยู่สักวัน ๒ วันจึงกล่าวว่า พวกเรามากันแล้วก็จะอยู่สัก ๑๐-๑๒ วัน เพราะภิกษุเหล่านี้ มีการอยู่ร่วมอย่างสบาย.
               พึงทราบความเจริญและความเสื่อมด้วยประการฉะนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๒ ดังต่อไปนี้.
               ภิกษุชื่อว่ากัมมารามะ เพราะมีการงานเป็นที่ยินดี. ชื่อว่ากัมมรตะ เพราะยินดีในการงาน.
               บทว่า กมฺมารามตํ อนุยุตฺตา ความว่า ประกอบแล้ว ประกอบทั่วแล้ว ประกอบตามแล้ว.
               ในบทเหล่านั้น งานที่จะพึงทำเรียกว่ากรรม คืออะไรบ้าง.
               คือ เช่นจัดจีวร กระทำจีวร ช่วยเขาทำวัตถุมีกล่องเข็ม ถลกบาตร สายโยคประคดเอว เชิงรองบาท เขียงเท้า และไม้กวาดเป็นต้น.
               จริงอยู่ ภิกษุบางรูปเมื่อกระทำกิจเหล่านี้ ย่อมกระทำกันทั้งวันทีเดียว. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงห้ามไว้ดังนี้.
               ส่วนภิกษุใดกระทำกิจเหล่านั้น ในเวลาทำกิจเหล่านั้นเท่านั้น ในเวลาอุเทศก็เรียนอุเทศ ในเวลาสาธยายก็สาธยาย เวลากวาดลานพระเจดีย์ก็ทำวัตรที่ลานพระเจดีย์ ในเวลามนสิการก็ทำมนสิการ ภิกษุนั้นไม่ชื่อว่ามีการงานเป็นที่ยินดี.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภสฺสารามา นี้ดังต่อไปนี้
               ภิกษุใด เมื่อกระทำการเจรจาปราศัย ด้วยเรื่องเพศหญิงเพศชายเป็นต้น หมดเวลาไปทั้งกลางวันและกลางคืน คุยเช่นนี้ไม่จบ ภิกษุนี้ชื่อว่ามีการคุยเป็นที่มายินดี. ส่วนภิกษุใดพูดธรรม แก้ปัญหา ชื่อว่าไม่มีการคุยเป็นที่มายินดี ภิกษุนี้ชื่อว่าคุยน้อยคุยจบทีเดียว.
               เพราะเหตุไร
               เพราะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอผู้ประชุมกันมีกรณียะ ๒ อย่าง คือพูดธรรม หรือนิ่งอย่างอริยะ.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น นิทฺทารามา นี้ดังต่อไปนี้
               ภิกษุใดเดินก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ถูกถีนมิทธะครอบงำแล้วก็หลับได้ทั้งนั้น ภิกษุนี้ชื่อว่ามีการหลับเป็นที่มายินดี ส่วนภิกษุใดมีจิตหยั่งลงในภวังค์ เพราะความเจ็บป่วยทางกรัชกาย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ เรารู้ยิ่งว่า ปลายเดือนฤดูร้อนภายหลังกลับจากบิณฑบาต ปูสังฆาฏิ ๔ ชั้น มีสติสัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ความหลับโดยตะแคงข้างขวา.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น สงฺคณิการามา นี้ดังต่อไปนี้
               ภิกษุใดมีเพื่อน ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป ๔ รูป คลุกคลีอยู่อย่างนี้ ไม่ได้รับความยินดีแต่ผู้เดียว ภิกษุนี้ชื่อว่ามีการคลุกคลีเป็นที่มายินดี. ส่วนภิกษุใดได้ความยินดีในอิริยาบถทั้ง ๔ แต่ผู้เดียว ภิกษุนี้พึงทราบว่ามิใช่ผู้มีความคลุกคลีเป็นที่มายินดี.
               เหล่าภิกษุผู้ประกอบด้วยปรารถนาความยกย่องคุณที่ไม่มีอยู่ เป็นผู้ทุศีล ชื่อว่าเป็นผู้ปรารถนาลามกในคำว่า น ปาปิจฺฉา นี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในปาปมิตร เป็นต้นดังต่อไปนี้.
               ชื่อว่า ปาปมิตร เพราะมีมิตรชั่ว. ชื่อว่า ปาปสหาย เพราะมีสหายชั่ว เหตุไปด้วยกันในอิริยาบถทั้ง ๔. ชื่อว่า ปาปสัมปวังกะ เพราะเป็นเพื่อนในหมู่ภิกษุชั่ว เหตุเป็นผู้โอนอ่อนผ่อนตามภิกษุชั่วนั้น.
               บทว่า โอรมตฺตเกน ได้แก่ มีประมาณต่ำมีประมาณน้อย. บทว่า อนฺตรา ได้แก่ ในระหว่างยังไม่บรรลุพระอรหันต์นั้น. บทว่า โอสานํ ได้แก่ งดความเพียร ท้อถอยว่าพอละด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ได้แก่หยุดกิจ.
               ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ถึงที่สุด ด้วยผลเพียงมีศีลบริสุทธิ์ เพียงวิปัสสนา เพียงฌาน เพียงเป็นพระโสดาบัน เพียงเป็นพระสกทาคามี หรือเพียงเป็นพระอนาคามีเพียงใด ภิกษุทั้งหลายพึงหวังแต่ความเจริญอย่างเดียวไม่เสื่อมเลย.
               พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๓ ดังต่อไปนี้.
               บทว่า สทฺธา ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยศรัทธา.
               ในความว่า สทฺธา นั้น ศรัทธามี ๔ คืออาคมนียศรัทธา อธิคมศรัทธา ปสาทศรัทธา โอกัปปนศรัทธา.
               บรรดาศรัทธาทั้ง ๔ นั้น
                         อาคมนียศรัทธา ย่อมมีแก่พระโพธิสัตว์ผู้สัพพัญญู.
                         อธิคมปสาทศรัทธา ย่อมมีแก่พระอริยบุคคลทั้งหลาย
                         ส่วนเมื่อเขาว่า พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ ก็เลื่อมใส ชื่อว่าปสาทศรัทธา.
                         ส่วนความปักใจเชื่อ ชื่อว่าโอกัปปนศรัทธา.
               ความเชื่อทั้ง ๒ นั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
               จริงอยู่ ภิกษุผู้ประกอบด้วยศรัทธานั้น เป็นผู้น้อมไปในศรัทธาก็เป็นเช่นเดียวกับพระวักกลิเถระ. ความจริง พระวักกลิเถระเป็นอันทำเจติยังคณวัตร หรือว่าโพธิยังคณวัตร. บำเพ็ญวัตรทุกอย่าง มีอุปัชฌายวัตรและอาจริยวัตรเป็นต้น.
               บทว่า หิริมนา ได้แก่ ผู้มีจิตประกอบด้วยหิริ อันมีลักษณะเกลียดบาป. บทว่า โอตฺตปฺปี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยโอตตัปปะ อันมีลักษณะเกรงกลัวแต่บาป.
               ก็ในบทว่า พหุสฺสุตา นี้ พหุสุตะมี ๒ คือ ปริยัตติพหุสุตะ ปฏิเวธพหุสุตะ. ปิฏก ๓ ชื่อว่าปริยัติ. การแทงตลอดสัจจะ ชื่อว่าปฏิเวธ. ก็ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาปริยัติ.
               ภิกษุผู้มีสุตะมาก ชื่อว่าพหุสุตะ. ก็ภิกษุพหุสุตะนี้นั้นมี ๔ คือนิสัยมุตตกะ ปริสูปัฎฐาปกะ ภิกขุโนวาทกะ สัพพัตถพหุสุตะ.
               ใน ๔ จำพวกนั้น. พหุสุตะ ๓ จำพวกพึงถือเอาได้ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในโอวาทวรรค ในอรรถกถาวินัยชื่อสมันตปาสาทิกา. จำพวกสัพพัตถพหุสุตะ ก็คล้ายกับพระอานนทเถระ. จำพวกสัพพัตถพหุสุตะนั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
               ชื่อว่าอารัทธวิริยา ได้แก่เหล่าภิกษุที่ปรารภความเพียรทางกายและทางใจ.
               ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดบรรเทาความคลุกคลีด้วยหมู่ อยู่ผู้เดียวในอิริยาบถทั้ง ๔ โดยอารัมภวัตถุ ๘ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าปรารภความเพียรทางกาย.
               ภิกษุเหล่าใดบรรเทาความคลุกคลีทางจิต อยู่ผู้เดียวโดยสมาบัติ ๘ ไม่ยอมยืนเมื่อกิเลสที่เกิดในขณะเดินอยู่ ไม่ยอมนั่งเมื่อกิเลสที่เกิดในขณะยืนอยู่ ไม่ยอมนอนเมื่อกิเลสที่เกิดในขณะนั่งอยู่ ข่มกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าปรารภความเพียรทางจิต.
               บทว่า อุปฎฺฐิตสติ ได้แก่ ระลึกถึง ตามระลึกถึงกิจที่ทำไว้แล้วแม้นานเป็นต้น เหมือนพระมหาคติมพอภัยเถระ พระทีฆกอภัยเถระ และพระติปิฏจุฬาภยเถระ.
               ได้ยินว่า พระมหาคติมพอภัยเถระเห็นนกกากำลังยื่นจะงอยปากไปที่ข้าวมธุปายาสที่เป็นมงคล ในวันที่ ๕ นับแต่ตนเกิด ก็ร้องเสียง ฮู ฮู. ต่อมา เมื่อเป็นพระเถระถูกพวกภิกษุถามว่า ท่านขอรับ ท่านระลึกได้แต่เมื่อไร. จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ ตั้งแต่ร้องขึ้น ในวันที่ ๕ นับแต่ตนเกิด.
               มารดาของพระทีฆกอภัยเถระ น้อมตัวลงหมายจะจุมพิต ตั้งแต่วันที่ ๙ นับแต่พระเถระเกิด. มวยผมของนางก็สยาย. ต่อนั้นดอกมะลิประมาณทะนานหนึ่ง ก็ตกไปที่อกของทารกทำให้เกิดทุกข์. เมื่อเป็นพระเถระท่านถูกพวกภิกษุถามว่า ท่านขอรับ ระลึกได้ตั้งแต่เมื่อไร. ตอบว่า ตั้งแต่วันที่ ๙ นับแต่ตนเกิด.
               พระติปิฏกจูฬาภัยเถระเล่าว่า เราปิดประตู ๓ ด้านในอนุราธบุรี ให้ผู้คนออกประตูเดียวแล้วถามว่า ท่านชื่อไร ท่านชื่อไร ถึงตอนเย็นก็ไม่ถามซ้ำสามารถระบุชื่อของผู้คนเหล่านั้นได้.
               ก็ท่านหมายเอาภิกษุเห็นปานนั้น จึงกล่าวว่า อุปฎฺฐิตสติ. บทว่า ปญฺญวนฺโต ได้แก่ ประกอบด้วยปัญญา กำหนดความเกิดดับของปัญจขันธ์เป็นอารมณ์. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยสองบทนี้ ท่านกล่าวถึงสัมมาสติและวิปัสสนาปัญญา อันเป็นเหตุอุดหนุนวิปัสสนาของเหล่าภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา.
               พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๔ ดังต่อไปนี้.
               สัมโพชฌงค์คือสติ ชื่อว่าสติสัมโพชฌงค์. ในทุกบท ก็นัยนี้.
               ในสัมโพชฌงค์
                         สติสัมโพชฌงค์ มีความปรากฏเป็นลักษณะ
                         ธัมมวิจยสัมโพชฌงศ์ มีการเลือกเฟ้นเป็นลักษณะ
                         วิริยะสัมโพชฌงค์ มีการประคองจิตเป็นลักษณะ
                         ปิติสัมโพชฌงค์ มีการซาบซ่านไปเป็นลักษณะ
                         ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มีความสงบเป็นลักษณะ
                         สมาธิสัมโพชฌงค์ มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ
                         อุเปกขาสัมโพชฌงค์ มีการพิจารณาเป็นลักษณะ.
               บทว่า ภาเวสฺสนฺติ ความว่า ภิกษุทั้งหลายตั้งสติสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๔ ตั้งธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๖ ตั้งวิริยสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๙ ตั้งปีติสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๑๐ ตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๗ ตั้งสมาธิสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๑๐ ตั้งอุเปกขาสัมโพชฌงค์ด้วยเหตุ ๕ จักทำให้เจริญ. ท่านกล่าวสัมโพชฌงค์คละกันทั้งโลกิยะทั้งโลกุตตระ ประกอบด้วยวิปัสสนาและมรรคผลด้วยบทนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
               สัญญาที่เกิดขึ้นพร้อมกับอนิจจานุปัสสนา ชื่อว่าอนิจจสัญญา. แม้ในอนัตตสัญญาเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน. พึงทราบว่า สัญญา ๗ นี้เป็นโลกิยวิปัสสนาก็มี สัญญา ๒ ในที่นี้เป็นโลกุตตรวิปัสนาก็มี โดยบาลีที่มาว่า นิพพานนี้สงบประณีต คือธรรมที่ระงับสังขารทั้งปวง ฯลฯ นิโรธ.
               พึงทราบวินิจฉัยในฉักกะดังต่อไปนี้.
               บทว่า เมตฺตํ กายกมฺมํ ได้แก่ กายกรรมที่พึงทำด้วยเมตตาจิต. แม้ในวจีกรรมและมโนกรรมก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็กรรมทั้ง ๓ นี้มาโดยเป็นของเหล่าภิกษุ แม้ในเหล่าคฤหัสถ์ก็ใช้ได้
               จริงอยู่ สำหรับเหล่าภิกษุ การบำเพ็ญธรรม คืออภิสมาจารด้วยเมตตาจิต ชื่อว่าเมตตากายกรรม. สำหรับคฤหัสถ์ กิจมีเป็นต้นอย่างนี้ คือการไปไหว้พระเจดีย์ ไหว้ต้นโพธิ์ นิมนต์สงฆ์ การพบเหล่าภิกษุเข้าบ้านไปบิณฑบาตแล้วต้อนรับ รับบาตร ปูอาสนะ เดินตาม ทาน้ำมัน ชื่อว่าเมตตากายกรรม.
               สำหรับเหล่าภิกษุ การสอนอาจาระบัญญัติ สิกขาบทและกัมมัฏฐาน การแสดงธรรมแม้พระไตรปิฏก พุทธวจนะ ด้วยเมตตาจิต ชื่อว่าเมตตาวจีกรรม. สำหรับคฤหัสถ์ ในเวลากล่าวเป็นต้นว่า พวกเราไปไหว้พระเจดีย์ ไปไหว้ต้นโพธิ์ กระทำการฟังธรรม ให้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน สมาทานประพฤติสุจริต ๓ ถวายสลากภัตเป็นต้น ถวายผ้าอาบน้ำฝน วันนี้ถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์ นิมนต์สงฆ์ จัดถวายของเคี้ยวเป็นต้น ปูอาสนะ ตั้งน้ำฉันต้อนรับสงฆ์นำมาให้นั่งเหนืออาสนะที่ปูไว้ เกิดฉันทะ อุตสาหะ ทำการขวนขวาย ชื่อว่าเมตตาวจีกรรม.
               สำหรับภิกษุลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปฏิบัติสรีระและทำวัตรที่ลานพระเจดีย์เป็นต้น นั่งเหนืออาสนะอันสงัดคิดว่า ขอภิกษุทั้งหลายในวัดนี้จงมีสุข ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกันเป็นต้น ชื่อว่าเมตตามโนกรรม. สำหรับคฤหัสถ์คิดว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงมีสุข ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ชื่อว่าเมตตามโนกรรม.
               บทว่า อาวิ เจว รโห จ ได้แก่ในที่ต่อหน้าและลับหลัง. ในบทนั้นการร่วมกันในจีวรกรรมเป็นต้น สำหรับภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเมตตากายกรรมต่อหน้า. แต่สำหรับพระเถระ สามีจิกรรมทั้งหมด แม้ต่างโดยการล้างเท้าและพัดวีเป็นต้น ก็ชื่อว่าเมตตากายกรรมต่อหน้า. ไม่ทำการดูหมิ่นในภิกษุเหล่านั้น แล้วเก็บงำสิ่งของมีเครื่องไม้เป็นต้น ที่แม้ภิกษุ ๒ ฝ่ายเก็บไว้ไม่ดี เหมือนอย่างที่ตนเก็บไว้ไม่ดี ชื่อว่าเมตตากายกรรมลับหลัง. การกล่าวยกย่องอย่างนี้ว่า ท่านพระเทวเถระ พระติสสเถระ ชื่อว่าเมตตาวจีกรรมต่อหน้า. การที่ภิกษุสอบถามถึงผู้ที่ไม่มีอยู่ในวัด กล่าวถ้อยคำที่น่ารักว่า พระเถระไปไหน พระติสสเถระไปไหน เมื่อไรจักมาดังนี้ ชื่อว่าเมตตาวจีกรรมลับหลัง. การลืมตาที่ผ่องใสด้วยความหวังดีและความห่วงใย มองดูด้วยหน้าที่ผ่องใส ชื่อว่าเมตตามโนกรรมต่อหน้า. การตั้งใจว่า ขอท่านพระเทวเถระ พระติสสเถระจงเป็นผู้ไม่มีโรค ไม่มีอาพาธ ชื่อว่าเมตตามโนกรรมลับหลัง.
               บทว่า ลาภา ได้แก่ ปัจจัยที่ได้มามีจีวรเป็นต้น. บทว่า ธมฺมิกา ความว่า เว้นมิจฉาชีพต่างด้วยการหลอกลวงเป็นต้น เกิดด้วยภิกขาจารวัตรโดยธรรมโดยเสมอ.
               บทว่า อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปิ ความว่า โดยอย่างต่ำที่สุด แม้เพียงภิกษา ๒-๓ ทัพพีที่เนื่องในบาตร คือที่อยู่ภายในบาตร.
               ในคำว่า อปฺปฏิวิภตฺตโภคี นี้ ปฏิวิภัตตะมี ๒ อย่าง คืออามิสปฏิวิภัตต์ บุคคลปฏิวิภัตต์.
               ใน ๒ อย่างนั้นการแบ่งด้วยจิตคิดอย่างนี้ว่า เราจักให้เท่านี้ จักไม่ให้เท่านี้ ชื่อว่าอามิสปฏิวิภัตต์. การแบ่งด้วยจิตคิดอย่างนี้ว่า เราจักให้องค์โน้น ไม่ให้แก่องค์โน้นดังนี้ ชื่อว่าบุคคลปฏิวิภัตต์. ภิกษุไม่กระทำแม้ทั้ง ๒ อย่าง บริโภคปัจจัยที่ยังไม่ได้แบ่ง ชื่อว่าอปฏิวิภัตตโภคี.
               ในคำว่า สีลวนฺเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคี นี้ เป็นลักษณะของภิกษุผู้บริโภคทั่วไป. ภิกษุได้ลาภใดๆ อันประณีตให้ลาภนั้นแก่พวกคฤหัสถ์โดยมุข คือการต่อลาภด้วยลาภก็หามิได้ บริโภคด้วยตนเองก็หามิได้. เมื่อรับก็ถือว่าจงทั่วไปกับสงฆ์ เห็นลาภที่เขาเคาะระฆังแล้วบริโภคเหมือนของสงฆ์.
               ถามว่า ใครๆ บำเพ็ญ ใครไม่บำเพ็ญสาราณียธรรมนี้.
               ตอบว่า ภิกษุผู้ทุศีลไม่บำเพ็ญ. เพราะภิกษุผู้มีศีลไม่ยอมรับของๆ ภิกษุนั้น. ส่วนภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญวัตรไม่ขาด.
               วัตรในข้อนั้นมีอุทาหรณ์ดังนี้

               เรื่องสาราณียธรรมแตก               
               ก็ภิกษุใดเจาะจงให้แก่มารดาบิดา หรืออาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น ภิกษุนั้นย่อมให้สิ่งที่ควรให้ ภิกษุนั้นไม่มีสาราณียธรรม ชื่อว่าปฏิบัติด้วยความกังวล. จริงอยู่ สาราณียธรรมย่อมควรแก่บุคคลผู้พ้นความกังวลเท่านั้น.
               ก็ภิกษุนั้น เมื่อให้เจาะจงพึงให้แก่ภิกษุไข้ ภิกษุพยาบาลภิกษุไข้แก่ภิกษุผู้จรมา ภิกษุผู้เตรียมจะไปและภิกษุบวชใหม่ผู้ไม่รู้การรับสังฆาฎิและบาตร. ควรให้แก่ชนเหล่านั้น ส่วนที่เหลือไม่ให้น้อยๆ ตั้งแต่เถรอาสน์ แล้วพึงให้เท่าที่ภิกษุจะรับได้. เมื่อส่วนที่เหลือไม่มี ไปเที่ยวบิณฑบาตอีก ให้สิ่งที่ประณีตๆ ตั้งแต่เถรอาสน์ แล้วบริโภคส่วนที่เหลือ.
               ไม่ควรให้แก่ภิกษุทุศีล เพราะพระบาลีว่า สีลวนฺเตหิ ดังนี้.
               ก็สาราณียธรรมนี้บำเพ็ญยากสำหรับบริษัทผู้ยังไม่ศึกษา บำเพ็ญไม่ยากสำหรับบริษัทผู้ที่ศึกษาแล้ว. ภิกษุใดได้ของโดยทางอื่น ภิกษุนั้นย่อมไม่ถือเอา.
               แม้เมื่อไม่ได้โดยทางอื่นก็รับแต่ควรแก่ประมาณเท่านั้น ไม่รับให้เกินไป. ก็สาราณียธรรมนี้ ๑๒ ปี จึงจะบริบูรณ์ สำหรับภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตบ่อยๆ แล้วให้ของที่ได้มาๆ ด้วยประการฉะนี้ ไม่ต่ำไปกว่านั้น.
               ก็ถ้าภิกษุบำเพ็ญสาราณียธรรมครบปีที่ ๑๒ วางบาตรที่เต็มด้วยอาหารไว้ในโรงฉันแล้ว ไปสรงน้ำ พระสังฆเถระถามว่า นั่นบาตรของใคร เมื่อภิกษุอื่นตอบว่า ของภิกษุผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม จึงกล่าวว่านำบาตรนั้นมาซิแล้วแจกจ่ายอาหารในบาตรทั้งหมดแล้วฉัน วางแต่บาตรเปล่าไว้ที่นั้น
               ภิกษุนั้นเห็นบาตรเปล่า เกิดความเสียใจว่า ภิกษุทั้งหลายฉันไม่เหลือไว้ให้เราเลย. สาราณียธรรมก็แตก ต้องบำเพ็ญ ๑๒ ปีใหม่. ก็สาราณียธรรมก็เหมือนติตถิยปริวาส เมื่อขาดครั้งหนึ่ง ก็ต้องบำเพ็ญใหม่.
               ส่วนภิกษุใดเกิดความดีใจว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอที่เราไม่ต้องบอกกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในบาตร เพื่อนสพรหมจารีก็พากันฉัน เป็นอันชื่อว่าสาราณียธรรมนั้นเต็มแล้ว.
               ก็ภิกษุผู้มีสาราณียธรรมเต็มอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่มีความริษยา ไม่มีความตระหนี่. ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย และย่อมมีปัจจัยหาได้ง่าย. ของที่อยู่ในบาตรที่เขาถวายแก่ภิกษุนั้น ย่อมไม่สิ้นไป. เธอย่อมได้แต่ของที่เลิศในที่ๆ เขาแจกของ. เมื่อประสบภัยหรือความหิว เหล่าเทวดาก็ช่วยขวนขวาย.
               ในข้อนั้นมีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์.

               เรื่องสาราณียธรรมเต็ม               
               เขาเล่าว่า พระติสสเถระผู้อยู่ ณ เลณศิริ อาศัยมหาศิรีคามอยู่. พระมหาเถระ ๕๐ รูปไปยังนาคทวีป ประสงค์จะไหว้พระเจดีย์ เที่ยวบิณฑบาตในสิริคาม ไม่ได้อะไรๆ เลย ก็พากันออกไป. ก็พระเถระเมื่อเข้าไปพบพระเถระเหล่านั้นแล้วถามว่า ท่านได้อาหารแล้วหรือขอรับ. ตอบว่า พวกเราจะจาริกกันไปแล้วละผู้มีอายุ.
               พระเถระรู้ว่า พระเถระเหล่านั้นไม่ได้อาหาร จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ โปรดรออยู่ที่นี่แหละ จนกว่าผมจะมา. ตอบว่า เรามีถึง ๕๐ รูปนะ ไม่ได้แม้เพียงน้ำชื้นบาตร. พระเถระพูดว่า ท่านขอรับ ธรรมดาว่า ภิกษุประจำถิ่นย่อมเป็นผู้สามารถ แม้เมื่อไม่ได้ก็รู้จักภิกษุผู้เป็นเพื่อนทางภิกษาจาร. พระเถระทั้งหลายมากันแล้ว. พระเถระก็เข้ามาบ้าน.
               มหาอุบาสิกาในบ้านใกล้ๆ ก็จัดน้ำนมและอาหารคอยพระเถระ พอพระเถระมาถึงประตูบ้านก็ถวายเต็มบาตร. พระติสสเถระนั้นก็นำบิณฑบาตไปยังสำนักพระเถระทั้งหลาย กล่าวกะพระสังฆเถระว่าโปรดรับเถิดขอรับ. พระเถระมองดูหน้าพระเถระอื่นๆ ด้วยคิดว่า พวกเราถึงเท่านั้นไม่ได้อะไรเลย แต่พระเถระรูปนี้ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา อะไรกันหนอ. พระติสสเถระรู้ด้วยอาการที่มองดูเท่านั้นกล่าวว่า ท่านขอรับ พวกท่านอย่ารำคาญใจไปเลย โปรดรับบิณฑบาตที่ได้มาโดยสม่ำเสมอเถิด แล้วก็ถวายอาหารจนพอแก่ความต้องการแก่พระเถระทุกรูปตั้งแต่ต้น แม้ตนเองก็ฉันพอต้องการ.
               เมื่อฉันเสร็จ พระเถระทั้งหลายก็ถามพระติสสเถระนั้นว่า ผู้มีอายุ บรรลุโลกุตตรธรรมเมื่อไร. พระติสสเถระ ตอบว่า โลกุตตรธรรมของผมไม่มีดอกขอรับ. ถามว่า ผู้มีอาวุโส ท่านได้ฌานหรือ. ตอบว่า แม้อย่างนี้ก็ไม่มี ขอรับ. ถามว่า ผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์จริงหนอ. ตอบว่า ท่านขอรับ ผมบำเพ็ญสาราณียธรรมนะ ตั้งแต่เวลาที่สาราณียธรรมของผมนั้นเต็มแล้ว แม้ถ้ามีภิกษุแสนรูป ของที่อยู่ในบาตรก็ไม่หมดไป. พระเถระเหล่านั้นฟังแล้ว ก็พากันกล่าวว่า สาธุ สาธุ ท่านสัตบุรุษ ข้อนี้ของท่านเหมาะจริง.
               ในคำว่า ปตฺตคตํ น ขียติ ของที่อยู่ในบาตรไม่หมดไปนี้ มีเรื่องเท่านี้ก่อน.
               อนึ่ง พระเถระองค์นี้นี่แหละไปยังสถานที่ให้ทาน ด้วยคิริภัณฑมหาบูชา ที่เจติยบรรพต ถามว่า ในทานนี้อะไรเป็นของเลิศ. ตอบว่า ผ้าสาฎก ๒ ผืนขอรับ. พระเถระพูดว่า ผ้าสาฎก ๒ ผืนเหล่านั้นจักต้องถึงเรา. อำมาตย์ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกราบทูลแก่พระราชาว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งพูดอย่างนี้. พระราชาตรัสว่า ภิกษุหนุ่มมีจิตคิดอย่างนี้ แต่ผ้าสาฎกเนื้อละเอียดควรแก่พระมหาเถระทั้งหลาย จึงตั้งไว้ด้วยหมายจะถวายพระเถระทั้งหลาย.
               พระราชา เมื่อจะถวายในเมื่อภิกษุสงฆ์ยืนเรียงกัน ผ้าสาฎก ๒ ผืนที่วางไว้ใกล้ๆ ก็ไม่ขึ้นสู่พระหัตถ์ ขึ้นแต่ผ้าผืนอื่นๆ แต่ในเวลาที่ถวายภิกษุหนุ่ม ผ้าสาฎก ๒ ผืนนั้นขึ้นสู่พระหัตถ์ของพระราชา. ท้าวเธอทรงวางไว้ในมือของภิกษุหนุ่มนั้น มองหน้าของอำมาตย์ให้ภิกษุหนุ่มนั่งถวายทาน ทรงละสงฆ์แล้วประทับนั่งใกล้ภิกษุหนุ่ม ตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ท่านบรรลุธรรมเมื่อไร.
               ภิกษุหนุ่มนั้นไม่ทูลถึงคุณที่ไม่มีอยู่แม้ทางอ้อม ทูลว่า ถวายพระพร โลกุตตรธรรมของอาตมภาพไม่มีดอก. ตรัสว่า ท่านเจ้าข้า แต่ก่อนท่านได้พูดไว้มิใช่หรือ. ทูลว่า ถวายพระพรจริง อาตมภาพบำเพ็ญสาราณียธรรม ตั้งแต่เวลาที่ธรรมนั้นของอาตมภาพเต็มแล้ว สิ่งของอันเลิศก็มาถึงในสถานที่แจก. พระราชาตรัสว่า สาธุ สาธุ ท่านเจ้าข้า คุณข้อนี้ของพระคุณท่านเหมาะจริงแล้วเสด็จกลับ.
               ในคำว่า ภาชนียฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาติ สิ่งของอันเลิศถึงในสถานที่แจกจ่ายนี้ มีเรื่องดังกล่าวมานี้.
               อนึ่ง ชาวภาตรคาม ในพราหมณติสสภัยนคร ไม่บอกกล่าวแก่พระนาคเถรี พากันหนีไป. เวลาใกล้รุ่ง พระเถรีพูดกะเหล่าภิกษุณีสาวว่า หมู่บ้านช่างเงียบเหลือเกิน ช่วยกันดูสิ. ภิกษุณีสาวเหล่านั้นไปตรวจดูก็รู้ว่า ชาวบ้านพากันอพยพไปหมดแล้ว จึงมาบอกแก่พระเถรี. พระเถรีนั้นฟังแล้วก็กล่าวว่า พวกท่านอย่าคิดว่าชาวบ้านเหล่านั้นอพยพไปกันเลย จงทำความเพียรในการเล่าเรียนบาลีอรรถกถาและโยนิโสมนสิการของตนเท่านั้น เวลาภิกษาจารก็ห่มผ้า รวมด้วยกัน ๑๒ รูปทั้งตนเอง แม้ยืนกันอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ประตูบ้าน เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้ก็ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุณี ๑๒ รูป แล้วกล่าวว่า พระแม่เจ้า อย่าไปที่อื่นเลยโปรดอยู่ที่นี้เป็นนิตย์เถิด.
               แต่พระเถรีมีน้องชายชื่อพระนาคเถระ พระเถระคิดว่า มีภัยใหญ่ เราไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ จักไปฝั่งโน้น มีภิกษุ ๑๒ ทั้งตนออกจากสถานที่อยู่ของตนมายังภาตรคาม ด้วยหมายใจจะพบพระเถรีแล้วจึงจักไป. พระเถรีทราบว่า เหล่าพระเถระมากันแล้ว จึงไปสำนักของพระเถระเหล่านั้น ถามว่า อะไรกัน พระผู้เป็นเจ้า. พระเถระก็บอกเรื่องนั้น. พระเถรีบอกว่า วันนี้พวกท่านจงอยู่ในวัดนี้เสียวันหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยไป. พระเถระทั้งหลายก็พากันไปยังวัด.
               รุ่งขึ้น พระเถรีเที่ยวบิณฑบาตที่โคนไม้ เข้าไปหาพระเถระพูดว่า ท่านฉันบิณฑบาตนี้เถิด. พระเถระกล่าวว่า จักควรหรือพระเถรี แล้วก็ยืนนิ่ง. พระเถรีกล่าวว่า พ่อเอ๋ย บิณฑบาตนี้ได้มาด้วยธรรม อย่ารังเกียจโปรดฉันเถิด. พระเถระพูดว่า ควรหรือพระเถรี. พระเถรีจับบาตรได้ก็โยนไปในอากาศ. บาตรก็ตั้งอยู่ในอากาศ.
               พระเถระก็กล่าวว่า พระเถรี ภัตแม้ตั้งอยู่ในที่ ๗ ชั่วลำตาล ก็เป็นภัตสำหรับภิกษุณีนั่นเอง แล้วกล่าวอีกว่า ชื่อว่าภัยไม่ใช่มีทุกเวลา เมื่อภัยสงบ เราก็กล่าวถึงอริยวงศ์ ถูกท่านตักเตือนด้วยจิตว่า ดูก่อนท่านผู้ถือบิณฑปาติกธุดงค์ พวกท่านโปรดฉันอาหารของภิกษุณีเห็นปานนี้ อยู่เรื่อยไปเถิดดังนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจช่วยได้ท่านภิกษุณีทั้งหลาย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วออกเดินทาง. แม้รุกขเทวดาก็คิดว่า ถ้าพระเถระฉันบิณฑบาตจากมือพระเถรี เราจักไม่นำพระเถระนั้นกลับ ถ้าพระเถระไม่ฉันก็จักนำกลับ ยืนเห็นพระเถระไป ลงจากต้นไม้พูดว่า โปรดให้บาตรเถิดเจ้าข้า แล้วรับบาตรนำพระเถระมาที่โคนไม้นั้นแล ปูอาสนะถวายบิณฑบาต ให้พระเถระผู้ฉันเสร็จแล้วปฏิญาณ บำรุงภิกษุณี ๑๒ รูป ภิกษุ ๑๒ รูป ๗ ปี.
               ในข้อนี้ว่า เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺติ เทวดาย่อมช่วยเหลือนี้มีเรื่องดังกล่าวมานี้.
               จริงอยู่ ในข้อนั้น พระเถรีก็ได้เป็นผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น ดังต่อไปนี้
               ภิกษุใดมีสิกขาบทขาดในเบื้องต้นหรือที่สุดในกองอาบัติทั้ง ๗ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเหมือนผ้าขาดที่ชาย. อนึ่ง ภิกษุใดมีสิกขาบทขาดตรงกลางศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าทะลุ เหมือนผ้าทะลุกลางผืน. ส่วนภิกษุใดมีสิกขาบทขาด ๒-๓ สิกขาบทตามลำดับ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าด่าง เหมือนแม่โคสีดำสีแดงเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยสีที่ต่างกันอยู่ตรงหลังบ้างท้องบ้าง. ภิกษุใดมีสิกขาบทขาดในระหว่างๆ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าพร้อย เหมือนแม่โคมีลายจุดต่างๆ ในระหว่างๆ.
               ส่วนภิกษุใดมีสิกขาบทไม่ขาดเลย ศีลเหล่านั้นของภิกษุนั้นชื่อว่าไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย. ก็ศีลนั้นๆ ชื่อว่าเป็นไท เพราะกระทำให้พ้นจากความเป็นทาสตัณหา กลับเป็นไท ชื่อว่าวิญญูชนสรรเสริญแล้ว เพราะวิญญูชนมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงสรรเสริญแล้ว ชื่อว่าอันกิเลสไม่ถูกต้องแล้ว เพราะตัณหาและทิฏฐิไม่ถูกต้องแล้ว และเพราะอันใครๆ ไม่อาจปรามาสว่า ท่านเคยต้องอาบัติชื่อนี้. ท่านเรียกว่า เป็นไปเพื่อสมาธิ เพราะยังอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิให้เป็นไป.
               บทว่า สีลสามญฺญคตา วิหริสฺสนฺติ ได้แก่ จักมีศีลเสมอกับภิกษุผู้อยู่ในทิศาภาคนั้นๆ อยู่. จริงอยู่ ศีลของพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมเสมอกับศีลของพระโสดาบันเป็นต้นเหล่าอื่น ผู้อยู่ในระหว่างสมุทรก็ดี ในเทวโลกก็ดี. ความแตกต่างกันในศีลที่ประกอบด้วยมรรคผลไม่มี. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงกล่าวคำนี้.
               บทว่า ยายํ ทิฎฺฐิ ได้แก่สัมมาทิฏฐิที่สัมปยุตด้วยมรรค.
               บทว่า อริยา ได้แก่ ไม่มีโทษ.
               บทว่า นิยฺยาติ ได้แก่ นำทุกข์ออกไป.
               บทว่า ตกฺกรสฺส ได้แก่ ผู้กระทำอย่างนั้น.
               บทว่า สพฺพทุกฺขกฺขยาย ได้แก่ เพื่อความสิ้นทุกข์ในวัฏฏะทั้งปวง.
               บทว่า ทิฎฺฐิสามญฺญคตา ความว่า จักเป็นผู้เข้าถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกันอยู่.
               บทว่า วุฑฺฒิเยว ความว่า ภิกษุผู้อยู่อย่างนี้ พึงหวังความเจริญถ่ายเดียว ไม่เสื่อมเลย.
               บทว่า เอตเทว พหุลํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงโอวาทภิกษุทั้งหลาย จึงทรงทำธรรมีกถาอย่างนี้นี่แหละบ่อยๆ เพราะใกล้ปรินิพพาน.
               บทว่า อิติ สีลํ แปลว่า ศีลอย่างนี้ ศีลเท่านี้. ในข้อนั้น พึงทราบว่า จตุปาริสุทธิศีล ชื่อว่าศีล. จิตเตกัคคตา ชื่อว่าสมาธิ. วิปัสสนา ชื่อว่าปัญญา.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สีลปริภาวิโต ดังนี้
               ภิกษุทั้งหลายตั้งอยู่ในศีลอันใด ย่อมบังเกิดสมาธิที่สัมปยุตด้วยมรรค สมาธิที่สัมปยุตด้วยผลสมาธินั้น อันศีลนั้นอบรมแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก. ภิกษุทั้งหลายตั้งอยู่ในสมาธิใด ย่อมบังเกิดปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรค ปัญญาที่สัมปยุตด้วยผลปัญญานั้น อันสมาธินั้นอบรมแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก. ภิกษุทั้งหลายตั้งอยู่ในปัญญาอันใด ย่อมบังเกิดมรรคจิต ผลจิต จิตนั้นอันปัญญานั้นอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายโดยชอบทีเดียว.
               บทว่า ยถาภิรนฺตํ ความว่า ชื่อว่าความไม่ยินดียิ่ง ความหวาดสะดุ้งของพระพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่มี. แต่ท่านอธิบายว่า ตามความชอบใจ ตามอัธยาศัย.
               บทว่า อายาม แปลว่า มาไปกันเถิด ปาฐะว่า อยาม ก็มี. อธิบายว่า ไปกันเถิด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระอานนท์ผู้ติดตามไปใกล้ๆ ว่า อานนท์. ฝ่ายพระเถระบอกภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุจงเตรียมถือบาตรจีวร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์จะเสด็จไปที่โน้น.
               เรื่องการเสด็จมาอัมพลัฏฐิกาวัน ง่ายทั้งนั้น.
               คำว่า อถ โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตร ดังนี้เป็นต้น ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในสัมปสาทนียสูตร

.. อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕]
อ่านอรรถกถา 10 / 1อ่านอรรถกถา 10 / 57อรรถกถา เล่มที่ 10 ข้อ 67อ่านอรรถกถา 10 / 163อ่านอรรถกถา 10 / 301
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=5&A=2965
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=5&A=2965
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :