ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 7 / 1อ่านอรรถกถา 7 / 336อรรถกถา เล่มที่ 7 ข้อ 337อ่านอรรถกถา 7 / 349อ่านอรรถกถา 7 / 664
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ สังฆเภทขันธกะ
เรื่องมหานามศากยะและอนุรุทธศากยะเป็นต้น

               สังฆเภทักขันธกวรรณนา               
               วินิจฉัยในสังฆเภทักขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
               สองบทว่า อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา มีความว่า อมาตย์ ๑๐ คนมีกาฬุทายีอมาตย์เป็นต้น พร้อมด้วยพวกบริวารและชนเป็นอันมากเหล่าอื่นชื่อศากยกุมารผู้ปรากฏแล้วๆ.
               บทว่า อมฺหากํ คือ ในเราทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า จากสกุลของเราทั้งหลาย.
               สองบทว่า ฆราวาสตฺถํ อนุสิสฺสามิ มีความว่า กิจอันใดเธอพึงทำในฆราวาส พี่จักให้ทราบกิจนั้น.
               บทว่า อติเนตพฺพํ คือ พึงไขน้ำเข้า.
               บทว่า นินฺเนตพฺพํ มีความว่า น้ำจะเป็นของเสมอกันในที่ทั้งปวงโดยประการใด พึงให้โดยประการนั้น.
               บทว่า นิทฺทาเปตพฺพํ คือ พึงดายหญ้า.
               สองบทว่า ภุสิกา อุทฺธราเปตพฺพา มีความว่า ธัญชาติที่ปนกับฟางละเอียด พึงคัดออกแม้จากฟาง.
               บทว่า โอผุนาเปตพฺพํ มีความว่า พึงยังลมให้ถือเอา (พึงให้ลมพัด) เพื่อฝัดโปรยหญ้าและฟางละเอียดออก.
               ข้อว่า เตนหิ ตฺวญฺเญว ฆราวาสตฺเถน อุปชานาหิ มีความว่า ท่านนั่นแลพึงทราบเพื่อการครองเรือน.
               ในคำว่า อหํ ตยา ยถาสุขํ ปพฺพชาหิ นี้ พึงทราบเนื้อความดังนี้ :-
               อนุรุทธศากยะเป็นผู้ใคร่เพื่อจะกล่าวโดยเร็ว ด้วยความรักในพระสหายว่า เรากับท่านจักบวช เป็นผู้มีหฤทัยอันความโลภสิริราชสมบัติที่เหนี่ยวรั้งไว้อีก กล่าวได้แต่เพียงว่า เรากับท่าน เท่านั้นแล้วไม่สามารถกล่าวคำที่เหลือ.
               บทว่า นิปฺปาติตา มีความว่า กุมารทั้งหลาย อันอุบาลีนี้ให้ออกไปแล้ว.
               บทว่า มานสฺสิโน มีความว่า พวกหม่อมฉัน เป็นคนอันมานะอาศัยอยู่, มีคำอธิบายว่า พวกหม่อมฉันเป็นคนเจ้ามานะ.
               ในบทว่า ปรทตฺตวุโต นี้มีความว่า ชื่อผู้เป็นไปด้วยปัจจัยอันชนอื่นให้ เพราะเป็นผู้เลี้ยงชีพด้วยปัจจัยอันผู้อื่นให้.
               บาทแห่งคาถาว่า ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา มีความว่า กิเลสเครื่องยังจิตให้กำเริบทั้งหลาย ชื่อว่าไม่มีในจิตของผู้ใด เพราะเหตุว่า ความโกรธนั้น เป็นกิเลสอันมรรคที่ ๓ ถอนเสียแล้ว.
               ก็เพราะสมบัติชื่อว่าภวะ, วิบัติชื่อว่าวิภวะ. อนึ่ง ความเจริญชื่อว่าภวะ ความเสื่อมชื่อว่าวิภวะ. ความเที่ยงชื่อว่าภวะ ความขาดสูญชื่อว่าวิภวะ. บุญชื่อว่าภวะ, บาปชื่อว่าวิภวะ. คำว่า วิภวะและอภวะ นี้เป็นอันเดียวกันโดยใจความแท้ ; เหตุนั้นให้บาทแห่งคาถาว่า อิติ ภวาภวตญฺจ วีติวตฺโต นี้ พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้แลว่า ความมีและความไม่มี มีประการอย่างนั้น คือ มีประการหลากหลายนั่นใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจสมบัติและวิบัติ, ความเจริญและความเสื่อม, ความเที่ยงและความขาดสูญ, บุญและบาป ผู้นั้นก้าวล่วงความมีและความไม่มี มีประการอย่างนั้นๆ โดยนัยนั้นตามสมควรแก่เหตุ ด้วยมรรคแม้ ๔.
               บทว่า นานุภวนฺติ มีความว่า ย่อมไม่สามารถ. อธิบายว่า การเห็นบุคคลนั้น แม้เทวดาทั้งหลาย ก็ได้ด้วยยาก.
               บทว่า อหิเมขลิกาย คือ พันงูไว้ที่สะเอว.
               บทว่า อุจฺฉงฺเค ได้แก่ ที่อวัยวะทั้งหลาย.
               บทว่า สมฺมนฺนติ ได้แก่ นับถือ.
               หลายบทว่า ยํ ตุโม กริสฺสติ มีความว่า เขาจักกระทำซึ่งกรรมใด.
               ในคำว่า เขฬสโก นี้มีความว่า เทวทัต อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้กินน้ำลาย เพราะคำอธิบายว่า ปัจจัยที่เกิดขึ้นด้วยมิจฉาชีพอันพระอริยทั้งหลายพึงคายเสีย เป็นเช่นกับน้ำลาย, เทวทัตนี้ ย่อมกลืนกินซึ่งปัจจัยเห็นปานนั้น.
               สองบทว่า ปตฺถทฺเธน กาเยน มีความว่า มีกายแข็งทื่อคล้ายใบลาน. เทวทัต เมื่อจะยกตนเองโดยสภาพที่เป็นพระญาติของพระราชาว่า พระราชาทรงรู้จักเรา จึงกล่าวว่า มยํ โข ภเณ ราชญาตกา นาม.
               บทว่า ปหฏฺฐกณฺณวาโล มีความว่า ช้างนาฬาคีรีกระทำหูทั้ง ๒ ให้หยุดนิ่ง.
               บาทคาถาว่า ทุกฺขํ หิ กุญฺชร นาคมาสโท มีความว่า กุญชรผู้เจริญ ชื่อว่าการเข้าใกล้พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้ไม่ยินดีด้วยจิตคิดฆ่าเป็นทุกข์.
               บทว่า นาคหตสฺส มีความว่า สุคติของบุคคลผู้ฆ่าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ย่อมไม่มี.
               สองบทว่า ปฏิกุฏิโต ปฏิสกฺกิ มีความว่า ช้างนาฬาคิรีบ่ายหน้าไปหาพระตถาคตแล้ว ย่อลงด้วย ๒ เท้าหน้า.
               ในบทว่า อลกฺขิโก นี้ มีความว่า เทวทัตนี้ย่อมไม่กำหนด. อธิบายว่า ย่อมไม่รู้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่กำหนดเทวทัตย่อมไม่รู้ว่า เราทำกรรมลามกอยู่. เทวทัตนั้น อันใครๆ ไม่พึงกำหนดหมายได้. อธิบายว่า อันใครๆ ไม่พึงเห็น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้อันใครๆ กำหนดไม่ได้ (ว่าลามกเพียงไร).
               ในบทว่า ติกโภชนํ นี้ มีความว่า โภชนะอันชน ๓ คนพึงบริโภค.
               สองบทว่า ตํ ปญฺญาเปสฺสามิ มีความว่า เราจักอนุญาตติกโภชนะนั้น. แต่ในคณโภชนะ ภิกษุต้องทำตามธรรม.
               บทว่า กปฺปํ ได้แก่ อายุกัลป์หนึ่ง.
               บทว่า พฺรหฺมปุญฺญํ ได้แก่ บุญอันประเสริฐที่สุด.
               สองบทว่า กปฺปํ สคฺคมฺหิ ได้แก่ อายุกัลป์หนึ่งนั่นเอง.
               หลายบทว่า อถ โข เทวทตฺโต สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา มีความว่า ได้ยินว่า เทวทัตนั้น ครั้นให้จับสลากอย่างนั้นแล้ว ทำอุโบสถแผนกหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์นั้นนั่นแลแล้วจึงไป ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวคำนี้ว่า อถ โข เทวทตฺโต เป็นอาทิ.
               หลายบทว่า ปิฏฺฐิ เม อาคิลายติ มีความว่า หลังของเรา ย่อมเมื่อย เพราะมีเวทนากล้า ด้วยการนั่งนาน.
               หลายบทว่า ตมหํ อายมิสฺสามิ มีความว่า เราจักเหยียดหลังนั้น.
               ความรู้จิตของผู้อื่นอย่างนี้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้บ้าง ใจของท่านเป็นอย่างนั้นบ้าง ดังนี้ แล้วแสดงธรรมพอเหมาะเจาะแก่จิตของผู้อื่นนั้น ชื่อว่า การพร่ำสอนมีการดักใจเป็นอัศจรรย์.
               บทว่า มมานุกุพฺพํ มีความว่า เมื่อทำกิริยาเลียนเรา.
               บทว่า กปโณ ความว่า ถึงทุกข์แล้ว.
               บทว่า มหาวราหสฺส ความว่า เมื่อพญาช้าง.
               บทว่า มหึ วิกุพฺพโต ความว่า ทำลายแผ่นดิน.
               สองบทว่า ภึสํ ฆสานสฺส ความว่า เคี้ยวกินเหง้า (บัว).
               ในคำว่า นทีสุ ชคฺคโต นี้ มีเนื้อความว่า ได้ยินว่า พญาช้างนั้น เมื่อลงสู่สระโบกขรณี อันมีนามว่า นที นั้น เล่นอยู่ในเวลาเย็น ชื่อว่ายังราตรีทั้งปวงให้ผ่านไป คือทำความเป็นผู้ตื่น.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เล่นอยู่ในน้ำ.

               [ว่าด้วยองค์แห่งทูตเป็นต้น]               
               บทว่า สุตา ได้แก่ ผู้ฟัง.
               บาทคาถาว่า อสนฺทิทฺโธ จ อกฺขาติ มีความว่า เป็นผู้ไม่มีความสงสัยบอกเล่า คือผู้บอกประกอบด้วยอำนาจแห่งถ้อยคำอันสืบต่อกันตามลำดับ. เทวทัตจะเกิดในอบาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นชาวอบาย. เธอเป็นชาวนรกก็เหมือนกัน. เทวทัตจักตั้งอยู่ตลอดกัลป์ (ในนรก) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ตลอดกัลป์.
               บัดนี้ เทวทัต แม้พระพุทธเจ้าตั้งพันองค์ ก็ไม่อาจแก้ไขได้ เพราะฉะนั้น เธอจึงชื่อว่า อเตกิจฺโฉ ผู้อันพระพุทธเจ้าเยียวยาไม่ได้.
               หลายบทว่า มา ชาตุ โกจิ โลกสฺมึ มีความว่า แม้ในกาลไหนๆ สัตว์ไรๆ อย่า (เกิด) ในโลกเลย.
               บทว่า อุปปชฺชถ ได้แก่ เกิด.
               บาทคาถาว่า ชลํว ยสสา อฏฺฐา มีความว่า เทวทัตตั้งอยู่ประหนึ่งผู้รุ่งเรืองด้วยยศ.
               บาทคาถาว่า เทวทตฺโตติ เม สุตํ มีความว่า แม้คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับแล้วว่า เทวทัตเป็นเช่นนี้ ก็มีอยู่, คำว่า เทวทัตตั้งอยู่ประหนึ่งผู้รุ่งเรืองด้วยยศ นี้ พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าว หมายเอาคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับแล้วนั่นแล.
               ในคำว่า โส ปมาทํ อนุจิณฺโณ นี้ มีความว่า เทวทัตนั้นย่อมสร้างสมความประมาท เพราะฉะนั้น เธอจึงชื่อว่าผู้สร้างสมเนืองๆ. อธิบายว่า ความประมาทอันเธอไม่ละเสีย.
               สองบทว่า อาสชฺช นํ มีความว่า ถึงหรือว่าเบียดเบียนพระตถาคตนั่น ด้วยจิตลามก.
               ส่วนคำว่า อวีจินิรยํ ปตฺโต นี้ เป็นคำกล่าวเนื้อความที่ล่วงไปแล้ว เป็นไปในความหวัง.
               บทว่า เภสฺมา คือ นำภัยมา.

               [ว่าด้วยสังฆราชี]               
               ข้อว่า เอกโต อุปาลิ เอโก มีความว่า ในฝ่ายธรรมวาทีมีรูปเดียว.
               ข้อว่า เอกโต เทฺว ความว่า ในฝ่ายอธรรมวาที มี ๒ รูป.
               ข้อว่า จตุตฺโถ อนุสาเวติ สลากํ คาเหติ มีความว่า อธรรมวาทีเป็นรูปที่ ๔ คิดว่า เราจักทำลายสงฆ์
               บทว่า อนุสาเวติ ความว่า ประกาศให้ผู้อื่นพลอยรับรู้.
               อธิบายว่า เธอประกาศเภทกรวัตถุ ๑๘ ประการอย่างนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงธรรมว่า ธรรม ดังนี้ โดยนัยเป็นต้นว่า ทั้งพวกท่าน ทั้งพวกเรา ไม่มีความกลัวต่อนรกเลย ทางแห่งอเวจี แม้พวกเราก็ไม่ได้ปิดไว้ พวกเราไม่กลัวต่ออกุศล ก็ถ้าว่า ข้อนี้ พึงเป็นสภาพมิใช่ธรรม หรือข้อนี้ พึงเป็นสภาพมิใช่วินัย หรือว่า ข้อนี้ไม่พึงเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดาไซร้ ; เราทั้งหลายไม่พึงถือเอา.
               ข้อว่า สลากํ คาเหติ มีความว่า ก็แลครั้นประกาศอย่างนี้แล้ว จึงบอกให้จับสลากว่า ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้, ท่านทั้งหลายจงชอบใจสลากนี้.
               แม้ในบททั้งหลายว่า เอกโต อุปาลิ เทฺว โหนฺติ เป็นอาทิ ก็มีนัยเหมือนกัน.
               ข้อว่า เอวํ โข อุปาลิ สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จ มีความว่า ความร้าวรานแห่งสงฆ์ด้วย ความแตกแห่งสงฆ์ด้วย ย่อมมีด้วยเหตุเพียงให้จับสลากอย่างนี้, ก็แต่ว่า สงฆ์จะเป็นผู้แตกกันแล้ว ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หาไม่.
               ในคำนี้ว่า อุบาลี ภิกษุแล ผู้ปกตัตต์ มีสังวาสเสมอกันตั้งอยู่ในสีมาเสมอกัน จึงทำลายสงฆ์ได้ ดังนี้ พึงมีคำถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พระเทวทัต ชื่อว่าปกตัตต์อย่างไร พระเทวทัตไม่ใช่ผู้ปกตัตต์ก่อน เพราะเธอให้ฆ่าพระราชา และเพราะเธอทำโลหิตุปบาทอย่างไรเล่า?
               ข้าพเจ้าขอกล่าวในคำถามนี้ว่า การให้ฆ่าพระราชา ชื่อว่าไม่มี เพราะคำสั่งบังคับคลาดเสียก่อน. จริงอยู่ คำสั่งบังคับของพระเทวทัตนั้นอย่างนี้ว่า กุมาร ถ้ากระนั้น ท่านจงฆ่าพระบิดาแล้วเป็นพระราชาเถิด, เราจักฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเป็นพระพุทธเจ้า, แต่กุมารเป็นพระราชาแล้ว จึงยังพระบิดาให้สิ้นชีพในภายหลัง ; การให้ฆ่าพระราชา ชื่อว่าไม่มี เพราะคำสั่งบังคับคลาดเสียก่อน ด้วยประการฉะนี้.
               ส่วนความเป็นอภัพบุคคล ซึ่งมีโลหิตุปบาทเป็นปัจจัย พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสแล้ว ในเมื่อโลหิตุปบาท พอพระเทวทัตทำแล้วเท่านั้น อันข้อที่พระเทวทัตนั้นเป็นอภัพบุคคล เว้นคำของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียแล้ว ใครๆ ก็ไม่สามารถจะยกขึ้นได้. ส่วนคำว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ยังโลหิตให้ห้อขึ้น เป็นอนุปสัมบันไม่พึงให้อุปสมบท เป็นอุปสัมบัน พึงให้ฉิบหายเสีย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสภายหลังแต่สังฆเภท ; เพราะเหตุนั้น สงฆ์ชื่อว่าอันพระเทวทัตผู้ปกตัตต์ทำลายแล้ว.

               [ว่าด้วยสังฆเภท]               
                                   อธมฺมํ  ธมฺโมติ  ทีเปนฺตีติอาทีสุ  อฏฺฐารสสุ  เภทกร-
                         วตฺถูสุ  ฯ  สุตฺตนฺตปริยาเยน  ตาว  ทส  กุสลกมฺมปถา  ธมฺโม
                         อกุสลกมฺมปถา  อธมฺโม  ฯ  ตถา  จตฺตาโร  สติปฏฺฐานา  จตฺตาโร
                         สมฺมปฺปธานา  จตฺตาโร  อิทฺธิปาทา  ปญฺจินฺทฺริยานิ  ปญฺจ
                         พลานิ  สตฺต  โพชฺฌงฺคา  อริโย  อฏฺฐงฺคิโก  มคฺโคติ  สตฺตตฺตึส-
                         โพธิปกฺขิยธมฺมา  ธมฺโม  นาม  ฯ   ตโย  สติปฏฺฐานา  ตโย
                         สมฺมปฺปธานา  ตโย  อิทฺธิปาทา  ฉ อินฺทฺริยานิ ฉ  พลานิ
                         อฏฺฐ  โพชฺฌงฺคา  นวงฺคิโก  มคฺโคติ  อยํ  อธมฺโม  นาม ฯ
                         จตฺตาโร  อุปาทานา  ปญฺจ  นีวรณา  สตฺตอนุสฺสยา  อฏฺฐ
                         มิจฺฉตฺตาติ  จ  อยํ  ธมฺโม  ฯ  ตโย  อุปาทานา  จตฺตาโร  นีวรณา
                         ฉ  อนุสฺสยา  สตฺต  มิจฺฉตฺตาติ  อยํ  อธมฺโม  ฯ
               วินิจฉัยในเภทกรวัตถุ ๑๘ ประการ มีข้อว่า แสดงอธรรมว่าธรรมเป็นต้น.
               โดยสุตตันตปริยายก่อน. กุศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่าธรรม, อกุศลธรรมบถ ๑๐ ชื่อว่าอธรรม.
               อนึ่ง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่าธรรม. ข้อนี้ คือ สติปัฏฐาน ๓ สัมมัปปธาน ๓ อิทธิบาท ๓ อินทรีย์ ๖ พละ ๖ โพชฌงค์ ๘ มรรคมีองค์ ๙ ชื่อว่าอธรรม.
               อนึ่ง ข้อนี้ คือ อุปาทาน ๔ นีวรณ์ ๕ อนุสัย ๗ มิจฉัตตะ ๘ ชื่อว่าธรรม. ข้อนี้ คือ อุปาทาน ๓ นีวรณ์ ๔ อนุสัย ๖ มิจฉัตตะ ๗ ชื่อว่าอธรรม.
               บรรดาธรรมและอธรรมนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้ถือเอาส่วนคืออธรรมอันหนึ่ง บางข้อบางอย่าง กล่าวอยู่ซึ่งอธรรมนั้นว่า นี้เป็นธรรม ด้วยทำในใจว่า เราจักทำอธรรมนี้ว่าธรรม ด้วยประการอย่างนี้ สกุลแห่งอาจารย์ของพวกเราจักยอดเยี่ยม และพวกเราจักเป็นคนมีหน้ามีตาในโลก ชื่อว่าแสดงอธรรมว่า ธรรม
               เมื่อถือเอาส่วนอันหนึ่ง ในส่วนแห่งธรรมทั้งหลายกล่าวอยู่ว่า นี้เป็นอธรรม อย่างนั้นนั่นแล ชื่อว่าแสดงธรรมว่า มิใช่ธรรม.
               โดยวินัยปริยาย ส่วนกรรมที่พึงโจทแล้วให้ๆ การแล้วทำตามปฏิญญา ด้วยวัตถุที่เป็นจริง ชื่อว่าธรรม. กรรมที่ไม่โจท ไม่ให้ๆ การทำด้วยไม่ปฏิญญา ด้วยวัตถุไม่เป็นจริง ชื่อว่าอธรรม.
               โดยสุตตันตปริยาย ข้อนี้ ราควินัย โทสวินัย โมหวินัย สังวร ปหานะ การพิจารณา ชื่อว่าวินัย. ข้อนี้ คือ ความไม่กำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น ความไม่สำรวม ความไม่ละ การไม่พิจารณา ชื่อว่าอวินัย.
               โดยวินัยปริยาย ข้อนี้ คือ วัตถุสมบัติ ญัตติสมบัติ อนุสาวนาสมบัติ สีมาสมบัติ ปริสสมบัติ ชื่อว่าวินัย. ข้อนี้ คือ วัตถุวิบัติ ฯลฯ ปริสวิบัติ ชื่อว่าอวินัย.
               โดยสุตตันตปริยาย คำนี้ว่า สติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่าอันพระตถาคตทรงภาษิตแล้ว ตรัสแล้ว. คำนี้ว่า สติปัฏฐาน ๓ ฯลฯ มรรคมีองค์ ๙ ชื่อว่าอันพระตถาคตไม่ทรงภาษิตแล้ว ไม่ตรัสแล้ว.
               โดยวินัยปริยาย คำนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ชื่อว่าอันพระตถาคตทรงภาษิตแล้ว ตรัสแล้ว. คำนี้ว่า ปาราชิก ๓ สังฆาทิเสส ๑๔ อนิยต ๓ นิสสิคคิยปาจิตตีย์ ๓๑ ชื่อว่าอันพระตถาคตไม่ทรงภาษิตแล้ว ไม่ตรัสแล้ว.
               โดยสุตตันตปริยาย ข้อนี้ คือ การเข้าผลสมาบัติ การเข้ามหากรุณาสมาบัติ การเล็งดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุทุกวัน การแสดงสุตตันตะ การตรัสชาดกเนื่องด้วยความเกิดเรื่องขึ้น ชื่อว่าอันพระตถาคตทรงประพฤติเสมอ. ข้อนี้ คือ การไม่เข้าผลสมาบัติทุกวัน ฯลฯ การไม่ตรัสชาดก ชื่อว่าอันพระตถาคตไม่ทรงประพฤติเลย.
               โดยวินัยปริยาย ข้อนี้ คือ การอยู่จำพรรษาแล้ว บอกลาแล้วจึงหลีกไปสู่ที่จาริก ของภิกษุผู้รับนิมนนต์แล้ว การปวารณาแล้วจึงหลีกไปสู่ที่จาริก ความทำการต้อนรับก่อนกับภิกษุอาคันตุกะ ชื่อว่าอันพระตถาคตทรงประพฤติเสมอ ความไม่กระทำกิจมีไม่บอกลาก่อนเที่ยวไปสู่ที่จาริกนั้นนั่นแล ชื่อว่าอันพระตถาคตไม่ทรงประพฤติเลย.
               โดยสุตตันตปริยาย ข้อนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่าอันพระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว. ข้อนี้ คือ สติปัฏฐาน ๓ ฯลฯ มรรคมีองค์ ๙ ชื่อว่าอันพระตถาคตไม่ทรงบัญญัติแล้ว.
               อนาบัติที่พระตถาคตตรัสแล้วในสิกขาบทนั้นๆ ว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่รู้ ผู้ไม่มีไถยจิต ผู้ไม่ประสงค์จะให้ตาย ผู้ไม่ประสงค์จะอวด ผู้ไม่ประสงค์จะปล่อย ชื่อว่าอนาบัติ อาบัติที่พระตถาคตตรัสแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้รู้อยู่ ผู้มีไถยจิต ชื่อว่าอาบัติ. อาบัติ ๕ กอง ชื่อว่าอาบัติเบา. อาบัติ ๒ กอง ชื่อว่าอาบัติหนัก. อาบัติ ๖ กอง ชื่อว่าอาบัติมีส่วนเหลือ. กองอาบัติปาราชิกกองเดียว ชื่อว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ. อาบัติ ๒ กอง ชื่อว่าอาบัติชั่วหยาบ. อาบัติ ๕ กอง ชื่อว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ.
               ก็ในธรรมและอธรรมเป็นต้น ที่กล่าวแล้วโดยวินัยปริยายนี้ ภิกษุผู้กล่าวอยู่ซึ่งธรรมมีประการดังกล่าวแล้วว่า นี้ไม่ใช่ธรรม โดยนัยก่อนนั่นแล ชื่อว่าแสดงธรรมว่า มิใช่ธรรม.
               เมื่อกล่าวอยู่ซึ่งข้อที่มิใช่วินัยว่า นี้เป็นวินัย ชื่อว่า แสดงข้อที่มิใช่วินัยว่า วินัย ฯลฯ เมื่อกล่าวอยู่ซึ่งอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า นี้เป็นอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ.
               ครั้นแสดงธรรมว่า เป็นธรรม ฯลฯ หรือครั้นแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ อย่างนั้นแล้ว ได้พวกแล้วกระทำสังฆกรรม ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นแผนก ในสีมาเดียวกัน สงฆ์ชื่อว่าเป็นอันภิกษุเหล่านั้นทำลายแล้ว.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น่ย่อมแตกไปเพราะเภทกรวัตถุ ๑๘ ประการนี้ เป็นอาทิ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปกสฺสนฺติ มีความว่า ย่อมแย่ง คือย่อมแบ่งซึ่งบริษัท ได้แก่ย่อมคัดบริษัทให้ลุกไปนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               บทว่า อวปกาสนฺติ มีความว่า ย่อมยุยงอย่างยิ่ง คือ ภิกษุทั้งหลายจะเป็นผู้ไม่ปรองดองกันโดยประการใด ย่อมกระทำโดยประการนั้น.
               บทว่า อาเวณิกํ คือ แผนกหนึ่ง.
               ข้อว่า เอตฺตาวตา โข อุปาลิ สงฺโฆ ภินฺโน โหติ มีความว่า ครั้นเมื่อภิกษุทั้งหลาย แสดงวัตถุอันใดอันหนึ่งแม้วัตถุอันเดียว ในเภทกรวัตถุ ๑๘ แล้ว ให้ภิกษุทั้งหลายหมายรู้ด้วยเหตุนั้นๆ ว่า ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ ท่านจงชอบใจสลากนี้ ดังนี้ ให้จับสลากแล้ว ทำสังฆกรรมแผนกหนึ่ง อย่างนั้นแล้ว สงฆ์ย่อมเป็นอันแตกกัน. ส่วนในคัมภีร์บริวาร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อุบาลี สงฆ์ย่อมแตกกันด้วยอาการ#- ๕ เป็นอาทิ. คำนั้นกับลักษณะแห่งสังฆเภทนี้ ที่ตรัสในสังฆเภทักขันธกะนี้ โดยใจความไม่มีความแตกต่างกัน. และข้าพเจ้าจักประกาศข้อแตกต่างกันแห่งคำนั้น ในคัมภีร์บริวารนั้นแล.
               คำที่เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
____________________________
#- ปริวาร. ๔๙๕.

               สังฆเภทักขันธกวรรณนา จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ สังฆเภทขันธกะ เรื่องมหานามศากยะและอนุรุทธศากยะเป็นต้น จบ.
อ่านอรรถกถา 7 / 1อ่านอรรถกถา 7 / 336อรรถกถา เล่มที่ 7 ข้อ 337อ่านอรรถกถา 7 / 349อ่านอรรถกถา 7 / 664
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=3070&Z=3217
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=3&A=8764
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=3&A=8764
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๗  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๕๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :