ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 270427อรรถกถาชาดก 270430
เล่มที่ 27 ข้อ 430อ่านชาดก 270433อ่านชาดก 272519
อรรถกถา โรมชาดก
ว่าด้วย อาชีวกเจ้าเล่ห์

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า วสฺสานิ ปญฺญาส สมาธิกานิ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น ส่วนเรื่องอดีตมีดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นนกพิราบ อันนกพิราบเป็นอันมากห้อมล้อม สำเร็จการอยู่ในถ้ำแห่งภูเขาในป่า. มีดาบสรูปหนึ่งเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ด้วยอาจาระมรรยาท เข้าไปอาศัยปัจจันตคามแห่งหนึ่ง สร้างอาศรมบทอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่อยู่ของนกพิราบเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในบรรพตคูหา. พระโพธิสัตว์มายังสำนักของดาบสในระหว่างๆ ไม่ขาด ฟังสิ่งที่ควรฟัง.
พระดาบสอยู่ในที่นั้นช้านานแล้วหลีกจากไป.
ครั้งนั้น ชฎิลโกงคนหนึ่งได้มาสำเร็จการอยู่ในบรรพตคูหานั้น ฝ่ายพระโพธิสัตว์อันนกพิราบทั้งหลายแวดล้อม เข้าไปหาชฎิลโกงนั้น ไหว้แล้วกระทำปฏิสันถาร เที่ยวไปในอาศรมบทหาเหยื่ออยู่ในที่ใกล้ซอกเขา ในเวลาเย็นจึงบินไปยังที่อยู่ของตน.
ดาบสโกงอยู่ในที่นั้นได้ ๕๐ กว่าปี.
ครั้นวันหนึ่ง ชาวบ้านปัจจันตคามได้ปรุงเนื้อนกพิราบถวายดาบสโกงนั้น ดาบสโกงนั้นติดใจด้วยตัณหาความอยากในรสแห่งเนื้อของนกพิราบนั้น จึงถามว่า นี่ชื่อว่าเนื้ออะไร ได้ฟังว่า เนื้อนกพิราบ จึงคิดว่านกพิราบจำนวนมากมายังอาศรมบทของเรา เราฆ่านกพิราบเหล่านั้นกินเนื้อจึงจะควร. ชฎิลโกงนั้นจึงนำเอาข้าวสาร เนยใส นมส้ม นมสดและพริกเป็นต้นมาเก็บไว้ส่วนข้างหนึ่ง เอาชายจีวรคลุมค้อนนั่งคอยดูพวกนกพิราบจะมาอยู่ที่ประตูบรรณศาลา.
พระโพธิสัตว์ห้อมล้อมด้วยนกพิราบบินมา เห็นกิริยาชั่วร้ายของชฎิลโกงนั้น จึงคิดว่า ดาบสชั่วร้ายนี้นั่งด้วยอาการอย่างหนึ่งผิดสังเกต ชะรอยจะได้กินเนื้อสัตว์ผู้มีชาติเสมอกับเราบ้างแล้วกระมัง เราจักกำหนดจับดาบสโกงนั้น จึงยืนอยู่ในที่ใต้ลมสูดดมกลิ่นตัวของดาบสนั้น รู้ได้ว่า ดาบสนี้ประสงค์จะฆ่าพวกเรากินเนื้อ ไม่ควรไปยังสำนักของดาบสนั้น แล้วพานกพิราบทั้งหลายถอยกลับออกมา.
ดาบสเห็นนกพิราบนั้นไม่มาจึงคิดว่า เราควรกล่าวมธุรกถาถ้อยคำอันไพเราะกับนกพิราบเหล่านั้น แล้วฆ่านกพิราบที่เข้าไปใกล้ด้วยความคุ้นเคยแล้วกินเนื้อ.
จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาเบื้องต้นว่า :-
ดูก่อนปักษีผู้มีขนปีก เราอยู่ในถ้ำแห่งภูเขาศิลามากว่า ๕๐ ปี นกพิราบทั้งหลายก็มิได้รังเกียจ มีจิตเยือกเย็นอย่างยิ่ง ย่อมพากันมาสู่บ่วงมือของเราในกาลก่อน.
ดูก่อนท่านผู้มีอวัยวะคด บัดนี้ นกพิราบเหล่านั้นคงจะเห็นเหตุอะไรกระมัง จึงเป็นผู้ขวนขวายพากันไปเสพอาศัยซอกเขาอื่น ย่อมไม่สำคัญเราเหมือนเมื่อก่อนหนอ หรือว่านกเหล่านี้พลัดพรากไปนานจึงจำเราไม่ได้ หรือนกเหล่านั้นไม่ใช่นกเหล่านี้จึงไม่เข้าใกล้เรา.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมาธิกานิ ตัดบทเป็น สมอธิกานิ แปลว่า เกินจำนวน ๕๐ ปี.
บทว่า โรมก แปลว่า ผู้มีขนงอกขึ้น. ดาบสโกงเรียกพระโพธิสัตว์ว่า ปาราวตะ เพราะมีเท้าแดง มีวรรณะเสมอด้วยแก้วประพาฬอันเจียระไนดีแล้ว.
บทว่า อสงฺกมานา ความว่า เมื่อเราอยู่ในบรรพตคูหานี้เกิน ๕๐ ปีอย่างนี้ นกเหล่านี้ไม่ได้กระทำความรังเกียจเราแม้แต่วันเดียว เป็นผู้มีจิตเยือกเย็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนย่อมมาสู่บ่วงมือของเราอันโอกาสช่องว่างที่เหยียดมือออก.
บทว่า เตทานิ ตัดบทออกเป็น เต อิทานิ แปลว่า บัดนี้ นกเหล่านั้น. ดาบสโกงเรียกพระโพธิสัตว์ว่า วงฺกงฺค ผู้มีอวัยวะคด ก็นกแม้ทุกชนิดเรียกได้ว่า วังกังคะ ผู้มีอวัยวะคด เพราะในเวลาบินทำคอเอี้ยวบินไป.
บทว่า กิมตฺถํ ความว่า เห็นเหตุอะไร.
บทว่า อุสฺสุกฺกา ได้แก่ เป็นผู้ระอาใจ.
บทว่า คิริกนฺทรํ ได้แก่ ซอกเขาอื่นจากภูเขา.
บทว่า ยถา ปุเร ความว่า เมื่อก่อนนกเหล่านี้ย่อมสำคัญเราว่าเป็นที่เคารพเป็นที่รัก ฉันใด บัดนี้ย่อมไม่สำคัญ ฉันนั้นหนอ ท่านแสดงความหมายว่า นกเหล่านี้เห็นจะสำคัญเราอย่างนี้ว่า แม้ดาบสที่เคยอยู่ในที่นี้มาก่อนเป็นคนหนึ่ง ดาบสนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่ง คือคนละคนกัน.
ด้วยบทว่า จิรมฺปวุฏฺฐา อถวา น เต อิเม นี้ ดาบสโกงถามว่า นกเหล่านี้พลัดพรากไปนานเพราะระยะกาลนานล่วงไปจึงได้มา จึงจำเราไม่ได้ว่า ดาบสนี้ ก็คือดาบสรูปนั้นแหละ หรือว่านกเหล่าใดมีจิตสนิทในเรา นกเหล่านั้นไม่ใช่นกเหล่านี้ คือเป็นนกพวกอื่นจรมา ด้วยเหตุนั้น นกเหล่านี้จึงไม่เข้ามาใกล้เรา.

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงหันกลับมายืนกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
พวกเราเป็นผู้ไม่หลงใหล รู้อยู่ว่าท่านก็คือท่านนั่นแหละ พวกเรานั้นก็ไม่ใช่นกพวกอื่น ก็แต่ว่าจิตของท่านคิดประทุษร้ายในชนนี้ ดูก่อนอาชีวก เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงหวาดกลัวท่าน.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มยํ สมฺมุฬฺหา พวกเราเป็นผู้หลงใหล คือประมาทมัวเมาก็หามิได้.
บทว่า จิตฺตญฺจ เต อสฺมิ ชเน ปทุฏฺฐํ ความว่า ท่านก็คือท่าน แม้เราก็คือนกเหล่านั้นยังจำท่านได้ ก็อนึ่งแล จิตของท่านประทุษร้ายในชน คือเกิดจิตเพื่อจะฆ่าพวกเรา.
บทว่า อาชีวก ได้แก่ ดูก่อนดาบสชั่ว ผู้บวชเพราะเหตุต้องการเลี้ยงชีพ.
บทว่า เตน ตํ อุตฺตสาม ความว่า เพราะเหตุนั้น เราจึงสะดุ้งกลัวท่านไม่เข้าใกล้.

ดาบสโกงคิดว่า นกเหล่านี้รู้จักเราแล้วจึงขว้างค้อนไป แต่ผิดจึงกล่าวว่า จงไปเถิด นกผู้เจริญ เราเป็นผู้ผิดเสียแล้ว.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะดาบสโกงนั้นว่า เบื้องต้น ท่านผิดเราก่อน แต่ท่านจะไม่ผิดพลาดอบายทั้ง ๔ ถ้าท่านจักอยู่ในที่นี้ต่อไป เราจักบอกชาวบ้านว่า ดาบสนี้เป็นโจร แล้วให้มาจับท่านไป ท่านจงรีบหนีไปเสีย.
ครั้นคุกคามดาบสนั้นแล้วก็หลีกไป ฝ่ายชฏิลโกงไม่อาจอยู่ในที่นั้น ได้ไปที่อื่น.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ๔ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในบัดนี้
ดาบสผู้มีศีลรูปก่อนในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้
ส่วนหัวหน้านกพิราบในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.


จบ อรรถกถาโรมชาดกที่ ๗
-----------------------------------------------------

.. อรรถกถา โรมชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 270427อรรถกถาชาดก 270430
เล่มที่ 27 ข้อ 430อ่านชาดก 270433อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=27&A=2305&Z=2318
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๑๖  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]