บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
หน้าต่างที่   ๒ / ๓. ลำดับนั้น กาลเมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้สิบหกพรรษา หมู่อมาตย์และพราหมณ์เป็นต้น คิดกันว่า
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุตพฺภกฺโข ได้แก่ ได้ภิกษามาง่าย. บทว่า สกํฆรา ได้แก่ จากเรือนของตน อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้แหละ. บทว่า น ทุพฺภติ แปลว่า ไม่ประทุษร้าย. บทว่า สพฺพตฺถ ปูชิโต โหติ นี้พึงพรรณนาด้วยเรื่องพระสีวลี. บทว่า นาสฺสโจรา ปสหนฺติ ความว่า พวกโจรไม่อาจทำการข่มขี่ บทนี้พึงแสดงด้วยเรื่องสังกิจจสามเณร. บทว่า นาติมญฺเญติ ขตฺติโย นี้พึงแสดงด้วยเรื่องโชติกเศรษฐี. บทว่า ตรติ ได้แก่ ย่อมก้าวล่วง. บทว่า สฆรํ เอติ ความว่า ผู้ประทุษร้ายมิตร แม้มาเรือนของตน ก็มีจิตหงุดหงิดโกรธมา แต่ผู้ไม่ประทุษ บทว่า ปฏินนฺทิโต ความว่า ย่อมกล่าวคุณกถาของ ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรในสถานที่ประชุมของคนเป็นอันมาก ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรนั้น ย่อมเป็นผู้ชื่นชมเบิกบานด้วยเหตุนั้น. บทว่า สกฺกตฺวา สกฺกโต โหติ ความว่า สักการะผู้อื่นแล้ว แม้ตนเองก็เป็นผู้อันผู้อื่นทั้งหลายสักการะ. บทว่า ครุ โหติ สคารโว ความว่า มีความเคารพในผู้อื่นทั้งหลาย แม้ตนเองก็เป็นผู้อันผู้อื่นทั้งหลายเคารพ. บทว่า วณฺณกิตฺติภโต โหติ ความว่า ได้รับยกย่องและสรรเสริญ คือยกคุณความดีและเสียงสรรเสริญเที่ยวป่าวประกาศ. บทว่า ปูชโก ความว่า เป็นผู้บูชามิตรทั้งหลาย แม้ตนเองก็ย่อมได้การบูชา. บทว่า วนฺทโก ความว่า ผู้ไหว้กัลยาณมิตรทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมได้ไหว้ตอบในภพใหม่. บทว่า ยโสกิตฺตึ ความว่า ย่อมถึงอิสริยยศและบริวารยศ และเสียงสรรเสริญคุณความดี พึงกล่าวเรื่องของจิตตคฤหบดี ด้วยคาถานี้. บทว่า ปชฺชลติ ความว่า ย่อมรุ่งเรืองด้วยอิสริยยศ และบริวาร ยศ ในบทว่า สิริยา อชฺชหิโต โหติ นี้ควรกล่าวเรื่องของอนาถบิณฑิกเศรษฐี. บทว่า อสฺนาติ แปลว่า ย่อมบริโภค. บทว่า ปติฎฐํ ลภติ พึงแสดงด้วยจุลปทุมชาดก. บทว่า วิรุฬฺหมูลสนฺตานํ แปลว่า มีรากและย่านเจริญ. ในบทว่า อมิตฺตา นปฺปสหนฺติ นี้พึงกล่าวเรื่องโจรเข้าเรือนของมารดาพระโสณเถระในเรือนตระกูล. สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น แม้พระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรม ด้วยคาถามีประมาณเท่านี้ ก็ยังจำพระองค์ไม่ได้ หยุดขุดหลุมด้วยคิดว่า คนนี้ใครหนอแล้วลุกขึ้นเดินไปใกล้รถ ไม่เห็นพระมหาสัตว์และห่อเครื่องประทับทั้งสองอย่าง จึงกลับมาแลดูพระองค์ ก็จำพระองค์ได้ จึงหมอบลงแทบพระบาทแห่งพระมหาสัตว์ ประคองอัญชลีทูลวิงวอน กล่าวคาถานี้ว่า ขอพระองค์เสด็จมาเถิด ข้าพระบาทจักนำพระองค์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสกลับสู่มณเฑียรของพระองค์ ขอพระองค์จงครองราชสมบัติ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ พระองค์จักทรงทำอะไรในป่า. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงตรัสกะนายสารถีว่า แน่ะนายสารถี เราไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ ที่เราจะพึงได้ด้วยการประพฤติอธรรม พร้อมด้วยญาติและทรัพย์. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลํ เป็นคำปฏิเสธ. นายสารถีกราบทูลว่า ข้าแต่พระราชบุตร พระองค์เสด็จกลับจากที่นี้ จะทำให้ข้าพระองค์ได้รางวัลเครื่องยินดี. เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว พระชนกและพระชนนี จะพระราชทานรางวัลเครื่องยินดีแก่ข้าพระองค์. ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว นางสนม กุมาร พ่อค้า และพราหมณ์เหล่านั้นจะยินดีให้รางวัลแก่ข้าพระองค์ . ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว กองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพรถ กองทัพราบ แม้เหล่านั้นจะยินดีให้รางวัลแก่ข้าพระองค์. ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว ชาวชนบท ชาวนิคม ผู้มีธัญญาหารมาก จะประชุมกันให้เครื่องบรรณาการแก่ข้าพระองค์. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺณปตฺตํ ได้แก่ รางวัลเครื่องยินดี คือ ของให้ที่น่ายินดี. บทว่า ทชฺชุํ ความว่า พึงให้รางวัล เครื่องยินดีที่ทำให้ความมุ่งหมายของข้าพระองค์บริบูรณ์ ดุจหลั่งฝน คือ รัตนะเจ็ดประการ ฉะนั้น. นายสารถีคิดว่า อย่างไรเสีย พระกุมารนี้ก็คงเสด็จกลับเพื่ออนุเคราะห์เรา จึงได้กล่าวคำนี้. บทว่า เวสิยา แปลว่า พ่อค้า. บทว่า อุปยานานิ แปลว่า เครื่องบรรณาการ. พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า พระชนกและพระชนนี สละเราแล้ว. ชาวแว่นแคว้น ชาวนิคมและกุมารทั้งปวง ก็สละเราแล้ว. เราไม่มีเหย้าเรือนของตน พระชนนีทรงอนุญาตเราแล้ว พระชนกก็ทรงสละเราจริงๆแล้ว เราจะบวชอยู่ในป่าคนเดียว ไม่ปรารถนากามคุณทั้งหลาย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิตุ มาตุ จ แปลว่า อันพระชนกและพระชนนี. บทว่า จตฺโต แปลว่า สละขาดแล้ว แม้ในบทนอกนี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า มตฺยา ความว่า แน่ะนายสารถีเพื่อนรัก เราชื่อว่าอันพระชนนีผู้รับพรกำหนดให้ครองราชสมบัติ ๗ วัน ทรงอนุญาตแล้ว. บทว่า สญฺจตฺโต แปลว่า สละแล้วด้วยดี. บทว่า ปพฺพชิโต ความว่า ออกเพื่อต้องการบวชอยู่ในป่า. เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสคุณธรรมของพระองค์อยู่อย่างนี้ พระปีติได้เกิดขึ้นแล้ว แต่นั้นเมื่อทรงเปล่งพระอุทาน ด้วยกำลังพระปีติ จึงตรัสว่า ความหวังผลของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด นายสารถี ประโยชน์โดยชอบของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมให้ผลแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ออกบวชแล้ว จะมีภัยแต่ไหนเล่า. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผลาสาว ความว่า พระมหาสัตว์ตรัสอย่างนี้ เพื่อแสดงว่า ผลแห่งความมุ่งหมายของเราผู้ไม่รีบร้อน สิบหกปีจึงสำเร็จ. บทว่า วิปกฺกพฺรหฺมจริโยสฺมิ แปลว่า มีความปรารถนาถึงที่สุดแล้ว. บทว่า สมฺมทตฺโถ วิปจฺจติ ความว่า ประเภทคุณวิเศษมีฌานเป็นต้น ซึ่งเป็นกิจที่พึงทำ ย่อมสำเร็จโดยชอบ คือโดยอุบาย โดยการณ์. นายสารถีกราบทูลว่า พระองค์มีพระดำรัสไพเราะ และมีพระวาจาสละสลวยอย่างนี้ เหตุไฉนจึงไม่ตรัสในสำนักแห่งพระชนกและพระชนนี ในกาลนั้นเล่า. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วคฺคุกโถ แปลว่า มีพระดำรัสไพเราะ คือ มีพระดำรัสอ่อนหวาน. แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราเป็นง่อยเปลี้ย เพราะไม่มีเครื่องติดต่อก็หาไม่ เราเป็นหนวก เพราะไม่มีช่องหูก็หาไม่ เราเป็นใบ้ เพราะไม่มีลิ้นก็หาไม่ ท่านอย่าเข้าใจว่า เราเป็นใบ้. เราระลึกชาติปางก่อนที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอันกล้าแข็ง เราได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นยี่สิบปี ต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐,๐๐๐ ปี เรากลัวจะต้องเสวยราชสมบัตินั้น ขอชนทั้งหลายอย่าพึงอภิเษกเราในราชสมบัติเลย เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่พูดในสำนักของพระชนกและพระชนนีในกาลนั้น. พระชนกทรงอุ้มเราให้นั่งบนพระเพลา แล้วตรัสสั่งข้อความว่า จงฆ่าโจรคนหนึ่ง จงจองจำโจรคนหนึ่ง จงเอาหอกแทงโจรคนหนึ่ง แล้วเอาน้ำแสบราดแผล จงเสียบโจรคนหนึ่งบนหลาว ตรัสสั่งเจ้าหน้าที่นั้นอย่างนี้ เราได้ฟังพระวาจาอันหยาบคายที่พระชนกตรัสนั้น จึงกลัวการเสวยราชสมบัติ เรามิได้เป็นใบ้ ก็ทำเหมือนเป็นใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย ก็ให้คนเข้าใจว่า ง่อยเปลี้ย แกล้งนอนเกลือกกลิ้งอยู่ในปัสสาวะ และอุจจาระของตน ชีวิตนั้นเป็นของลำบาก เป็นของน้อย ทั้งประกอบด้วยทุกข์ ใครเล่าจะอาศัยชีวิตนี้ ทำเวรด้วยเหตุการณ์หน่อยหนึ่ง ใครเล่าจะอาศัยชีวิตนี้ ทำเวรด้วยเหตุการณ์หน่อยหนึ่ง เพราะไม่ได้ปัญญา เพราะไม่เห็นธรรม. ความหวังผลของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน. เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด นายสารถี ประโยชน์โดยชอบของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมให้ผลแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ออกบวชแล้ว จะมีภัยแต่ไหนเล่า. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺธิตา แปลว่า เพราะไม่มีที่ต่อ. บทว่า อโสตตา แปลว่า เพราะไม่มีโสต. บทว่า อชิวฺหตา ความว่า เรานั้นมิได้เป็นใบ้ เพราะไม่มีลิ้น สำหรับเปลี่ยนไปมาของคำพูด. บทว่า ยตฺถ ความว่า ได้เสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสีนั่นแลในชาติใด. บทว่า ปาปตฺถํ ความว่า พระมหาสัตว์ตรัสถึงความชั่วว่าพระองค์ได้ตกมาแล้ว. บทว่า รชฺเชภิเสจยุํ แปลว่า พึงอภิเษกในราชสมบัติ. บทว่า นิสีทิตฺวา ความว่า ให้นั่งแล้ว. บทว่า อตฺถานุสาสติ ความว่า ตรัสสั่งข้อความผิด. บทว่า ขาราปตจฺฉกํ ความว่า จงเอาหอกแทงแล้วราดน้ำแสบที่แผล. บทว่า อุพฺเพถ แปลว่า จงยกขึ้น คือจงเสียบ. บทว่า อิจฺจสฺส อนุสาสติ ความว่า ตรัสสั่งข้อความแก่มหาชนนั้นอย่างนี้. บทว่า ตายาหํ ความว่า เราได้ฟังพระวาจาเหล่านั้น. บทว่า ปกฺขสมฺมโต ความว่า ได้เป็นผู้อันชนทั้งหลายเข้าใจว่าเป็นง่อยเปลี้ย คือ เป็นเหมือนคนง่อยเปลี้ย. บทว่า อจฺฉาหํ ความว่า อยู่แล้ว คือเราอยู่แล้ว. บทว่า สํปริปลุโต ความว่า เป็นผู้เกลือกกลิ้ง คือจมลงแล้ว. บทว่า กสิรํ แปลว่า เป็นทุกข์. บทว่า ปริตฺตํ แปลว่า น้อย คำนี้มีอธิบายว่า แน่ะนายสารถีเพื่อนรัก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถ้าเป็นทุกข์ ก็จะพึงตั้งอยู่ คือเป็นไปนานมาก ถ้านิดหน่อยก็จะพึงเป็น คือเป็นไปสบาย แต่ชีวิตนี้ ลำบากก็ตาม นิดหน่อยก็ตาม น้อยก็ตาม ย่อมประกอบ คือเข้าไปทรงไว้พร้อมด้วยทุกข์ในวัฎฎะทั้งสิ้นทีเดียว คือถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาสย่ำยี. บทว่า โกมํ ตัดบทเป็น โก อิมํ. บทว่า เวรํ ได้แก่ เวรห้าอย่างมีปาณาติบาต เป็นต้น. บทว่า เกนจิ ได้แก่ ด้วยเหตุไรๆ. บทว่า กยิราถ แปลว่า พึงกระทำ บทว่า ปญฺญาย ได้แก่ วิปัสสนาปัญญา. บทว่า ธมฺมสฺส ความว่า เพราะไม่เห็นโสดาปัตติมรรค. พระมหาสัตว์ได้ตรัสอุทานคาถาซ้ำอีก เพื่อประกาศความประสงค์ ไม่เสด็จกลับไปพระนคร เป็นมั่นคง. สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น คิดว่า พระกุมารนี้ทิ้งสิริราชสมบัติเห็นปานนี้ เหมือนทิ้งซากศพ ไม่ทำลายความตั้งใจมั่นของพระองค์ เข้าป่าด้วยหวังว่า จักผนวช เราจะต้องการอะไรด้วยชีวิตอันไม่สมประกอบนี้ แม้เราก็จักบวชกับด้วยพระกุมารนั้น คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า ข้าแต่พระราชบุตร แม้ข้าพระองค์ก็จักบวชในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสเรียกให้ข้าพระองค์บวชด้วยเถิด ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์ชอบบวช. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตวนฺติเก แปลว่า ในสำนักของท่าน. บทว่า อวฺหยสฺสุ ความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสเรียกข้าพระองค์ว่า เจ้าจงมาบวชเถิด. แม้นายสารถีทูลวิงวอนอย่างนี้ พระมหาสัตว์ทรงพระดำริว่า หากเราให้นายสารถีบวช ในบัดนี้ทีเดียว พระชนกพระชนนีของเราก็จักไม่เสด็จมาในที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเสื่อมจักมีแก่พระชนกและพระชนนีทั้งสอง ม้า รถ และเครื่องประดับเหล่านี้ก็จักพินาศ แม้ความครหาก็จักเกิดขึ้นแก่เราว่า นายสารถีนั้นถูกพระราชกุมาร ผู้เป็นยักษ์กินเสียแล้ว ทรงพิจารณาเพื่อจะเปลื้องความครหาของพระองค์ และพิจารณาถึงความเจริญแห่งพระชนกและพระชนนี เมื่อทรงแสดงม้ารถและเครื่องประดับ ทำให้เป็นหนี้ของนายสารถีนั้น จึงตรัสคาถาว่า แน่ะนายสารถี ท่านจงไปมอบคืนรถ แล้วเป็นผู้ไม่มีหนี้เถิด เพราะผู้ไม่มีหนี้จึงบวชได้ การบวชนั้น ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งสรรเสริญแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตํ ได้แก่ การกระทำการบรรพชานั้น. บทว่า อิสีภิ วณฺณิตํ ความว่า ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้ว. นายสารถีได้ฟังดังนั้นคิดว่า เมื่อเราไปสู่พระนคร ถ้าพระกุมารนี้จะพึงเสด็จไปที่อื่น พระราชบิดาได้ทรงสดับข่าวนี้ แล้วเสด็จมาตรัสว่า จงแสดงลูกของเรา มิได้ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารนี้ จะพึงลงราชทัณฑ์แก่เรา เพราะฉะนั้น เราจะกล่าวคุณของตนแก่พระกุมารนี้ จักถือเอาคำปฏิญญาเพื่อไม่เสด็จไปที่อื่น คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า ข้าพระองค์ได้ทำตามพระดำรัส ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ พระองค์ควรจะทรงทำตามคำที่ข้าพระองค์ทูลวิงวอน ขอพระองค์จงประทับรออยู่ ณ ที่นี้ จนกว่าข้าพระองค์จะนำพระราชาเสด็จมา อย่างไรเสีย พระราชบิดาของพระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้ว คงทรงพระปีติโสมนัสเป็นแน่. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ความว่า ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ พระดำรัสใดที่พระองค์ตรัสแล้วแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำตามพระดำรัสนั้นแล้ว พระองค์อันข้าพระองค์วิงวอนแล้ว ควรจะกระทำตามคำนั้นเท่านั้น. แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า แน่ะนายสารถี เราจะกระทำตามคำของท่าน ที่ท่านกล่าวกะเรา แม้ตัวเราก็อยากเห็นพระชนกของเราเสด็จมาในที่นี้ จงกลับไปเถิดเพื่อนรัก ท่านจงทูลแก่พระญาติทั้งหลายด้วยก็เป็นการดี ท่านเป็นผู้ที่เราสั่งแล้ว จงกราบทูลถวายบังคมพระชนกพระชนนีของเรา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กโรมิ เต ตํ ความว่า เรากระทำตามคำนั้นของท่าน. บทว่า เอหิ สมฺม นิวตฺตสฺสุ ความว่า แน่ะนายสารถีเพื่อนรัก ท่านจงไปในที่นั้น จงรีบกลับไปจากที่นี้ทีเดียว. บทว่า วุตฺโต วชฺชาสิ ความว่า ท่านเป็นผู้ที่เรากล่าวสั่งแล้ว พึงกราบทูลถวายบังคมของเราว่า เตมิยกุมารพระโอรสของพระองค์ ถวายบังคมพระบาทยุคลของพระองค์. ครั้นตรัสดังนี้แล้ว พระมหาสัตว์ได้น้อมพระองค์ดุจลำต้นกล้วยทองคำ ผินพระพักตร์ไปทางกรุงพาราณสี ถวายบังคมพระชนกและพระชนนี ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วได้ประทานข่าวสาส์นแก่นายสารถี. นายสารถีรับข่าวสาส์นแล้ว ทำประทักษิณพระกุมาร ถวายบังคมแทบพระยุคลบาทของพระกุมาร ขึ้นรถแล้วขับตรงไปยังกรุงพาราณสี. พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า นายสารถีจับพระบาททั้งสองของพระกุมาร และกระทำประทักษิณพระกุมารแล้ว ขึ้นรถเข้าไปสู่ประตูพระราชวัง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายสารถีนั้นจับที่พระบาททั้งสองของพระกุมารนั้น กระทำประทักษิณแล้ว ขึ้นรถเข้าไปสู่ประตูพระราชวัง. ในขณะนั้น พระนางจันทาเทวีเผยพระแกลคอยแล ดูการมาของนายสารถี ด้วยใคร่จะทรงทราบว่า ความเป็นไปของลูกเราเป็นอย่างไรหนอ พอทอดพระเนตรเห็น นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว ก็เป็นประหนึ่งพระหฤทัยจะแตกทำลายไป ทรงคร่ำครวญแล้ว. พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า พระชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า มีแต่นายสารถีมาคนเดียว ก็มีพระเนตรทั้งสองนองไป ด้วยพระอัสสุชลทรงกันแสง ทอดพระเนตรดูนายสารถีนั้น ด้วยเข้าพระหฤทัยว่า นายสารถีนี้ฝังโอรสของเราเสียแล้ว โอรสของเรานายสารถีฝังเสียในแผ่นดิน ถมแผ่นดินแล้วเป็นแน่ ปัจจามิตรทั้งหลายจะยินดี ศัตรูทั้งหลายจะอิ่มใจเป็นแน่ เพราะเห็นนายสารถีมาแล้ว เพราะฝังโอรสของเราแล้ว. พระชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว ก็มีพระเนตรทั้งสองนองไป ด้วยพระอัสสุชลทรงกันแสง ตรัสสอบถามนายสารถีนั้นว่า โอรสของเราเป็นใบ้หรือ เป็นง่อยหรือ ตรัสอะไรบ้างหรือ ในเวลาที่ถูกท่านฝังในแผ่นดิน จงบอกเนื้อความนั้นแก่เราเถิด นายสารถี โอรสของเราเป็นใบ้เป็นง่อย เขากระดิกมือเท้าอย่างไรบ้างไหม ในเมื่อถูกท่านฝังในแผ่นดิน เราถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เรา. บรรดาบทเหล่านั้น มาตา ได้แก่ พระชนนีของเตมิยกุมารโพธิสัตว์. บทว่า ปฐพฺยา ภูมิวฑฺฒโน ความว่า ลูกของเรานั้น ถูกฝังในแผ่นดินถมพื้นดินเป็นแน่. บทว่า โรทนฺตี นํ ปริปุจฺฉติ ความว่า พระนางจันทาเทวีตรัสสอบถาม นายสารถีผู้หยุดรถไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ขึ้นปราสาทถวายบังคมพระนางแล้วยืน ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง. บทว่า กินฺนุ ความว่า ลูกของเรานั้นเป็นใบ้และเป็นง่อยเปลี้ยจริงหรือ. บทว่า ตทา ความว่า ในเวลาที่ท่านฝังเขาในหลุมแล้วเอาสันจอบทุบศีรษะ. บทว่า นิหญฺญมาโน ภูมิยา ความว่า เมื่อถูกท่านฝังในพื้นดิน เขาพูดอย่างไรบ้าง. บทว่า ตํ เม อกฺขาหิ ความว่า ท่านจงบอกเรื่องทั้งหมดนั้น อย่าให้คลาดเคลื่อน. บทว่า วิวฏฺฎยิ ความว่า ลูกของเราเขาไหวมือและเท้า พร่ำกล่าวกะท่านว่า หลีกไปสารถี ท่านอย่าฆ่าเรา ดังนี้บ้างหรือไม่. ลำดับนั้น นายสุนันทสารถีกราบทูลพระนางว่า .. อรรถกถา เตมิยชาดก |